วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประเทศที่ต้องขอวีซา

ประเทศในกลุ่มสัญญา "เชงเก็น" (Visa Schengen) ได้แก่ ออสเตรีย เยอรมนี เบลเยี่ยม เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส กรีซ ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สเปน และสวีเดน
ผู้ที่ต้องการเดินทางในเส้นทางของกลุ่มประเทศ เชงเก็น ให้ยื่นคำร้องวีซ่าเชงเก็นต่อสถานทูต ของประเทศที่เป็นประเทศหลักของการเดินทาง หรือใช้ระยะเวลาอยู่ในประเทศนั้นๆ นานที่สุด แต่ถ้าไม่มีประเทศหลักของการเดินทางให้ยื่นคำร้องขอวีซ่าต่อสถานทูตของประเทศที่จะเดินทางเข้าไปเป็นประเทศแรก ทั้งนี้การยื่นขอวีซ่า สามารถยื่นคำร้องขอแบบเดินทางเข้า-ออกครั้งเดียว หรือเข้า-ออกหลายครั้งก็ได้ แต่รวมเวลาพำนักทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันแรกที่เดินทางเข้าประเทศในกลุ่มสัญญาเชงเก็น ส่วนประเทศอื่นในยุโรป ก็ต้องขอวีซ่าตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ก่อนไปขอวีซ่าประเทศไหน โทรไปสอบถามที่สถานทูตประเทศนั้นๆ ก่อน ก็น่าจะดี จะได้ทราบว่าต้องนำเอกสารหลักฐาน หรือต้องเตรียมค่าธรรมเนียมไปเท่าไร วีซ่านี้เที่ยวได้ในกลุ่มเท่านั้น อย่างอังกฤษ ต้องขอวีซ่าใหม่ ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่าเชงเก็น 39.95 ยูโร
ประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า

มีหลายประเทศที่รัฐบาลทำความตกลงเอาไว้เพื่อให้เดินทางไปมากันได้สะดวก และมีอีกหลายประเทศที่อำนวยความสะดวกให้คนไทยเป็นพิเศษ ปัจจุบัน มีอยู่ 18 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ ที่ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยสามารถเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ได้แก่
1.อาร์เจนติน่า (อยู่ได้ 90 วัน)
2.บาห์เรน (อยู่ได้ 14 วัน)
3.บราซิล (อยู่ได้ 90 วัน)
4.บรูไน (อยู่ได้ 14 วัน)
5.ชิลี (อยู่ได้ 90 วัน)
6.ฮ่องกง (อยู่ได้ 30 วัน)
7.อินโดนีเซีย (อยู่ได้ 30 วัน)
8.เกาหลีใต้ (อยู่ได้ 90 วัน)
9.ลาว (อยู่ได้ 30 วัน)
10.มาเก๊า (อยู่ได้ 30 วัน)
11.มาเลเซีย (อยู่ได้ 30 วัน)
12.มัลดีฟส์ (อยู่ได้ 30 วัน)
13.เปรู (อยู่ได้ 90 วัน)
14.ฟิลิปปินส์ (อยู่ได้ 21 วัน)
15.รัสเซีย (อยู่ได้ 30 วัน)
16.สิงคโปร์ (อยู่ได้ 30 วัน)
17.แอฟริกาใต้ (อยู่ได้ 30 วัน)
18.เวียดนาม (อยู่ได้ 30 วัน)
สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ ปัจจุบันรัฐบาลไทยก็มีความตกลงกับ 39 ประเทศให้สามารถเดินทางไปราชการได้โดยไม่ต้องใช้ Visa รายชื่อประเทศดูได้ใน เว็บตรงหน้าของกองตรวจตราฯ

ที่มา ผู้หญิงนะคะ
อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/18945.html

แพทย์ใหญ่เตือน แห่บำรุงอาหารเสริม กินวิตามินบินหามะเร็ง


นักวิจัย กองทุนมะเร็งโลก เผลงานวิจัยพบว่า ในบางคนหากการกินวิตามินมากเกินไป อาจจะเท่ากับทำร้ายตนเอง เพราะทำให้เสี่ยงกับมะเร็งบางอย่างมากขึ้น...แพทย์ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำกล่าวเตือนว่า การกินวิตามินเพื่อบำรุงร่างกาย ไม่ได้ช่วยปัดเป่าโรคภัยอันใดเลย ตรงกันข้ามอาจทำให้เฉียดเฉี่ยวกับมะเร็งหนักขึ้นด้วยซ้ำ ศาสตราจารย์มาร์ติน ไวส์แมน ที่ปรึกษาทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ ของกองทุนวิจัยโรคมะเร็งโลก บอกชี้ว่า ผู้ที่ชอบกินวิตามินและเกลือแร่เสริม แทนที่จะคอยกินอาหารให้ถูกส่วน นับว่ายิ่งเสี่ยงหนัก หนังสือพิมพ์รายวัน "เดอะ เดลี่ เอกซเปรสส์" ของอังกฤษ รายงานว่า ดร.มาร์ตินกล่าวต่อไปว่า คนหลายคนเชื่อว่า การกินอาหารเสริมต่างๆ จะช่วยให้พ้นภัยของมะเร็งได้ แต่ไม่ปรากฏมีหลักฐานยืนยันเลย ไม่ใช่คิดว่าการกินพวกอาหารเสริมในรูปเม็ดต่างๆ ร่างกายจะได้คุณประโยชน์เท่ากับการกินอาหาร ที่ให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ป้องกันมะเร็งระดับสูง ซึ่งที่จริงแล้ว การกินสารอาหารรองเหล่านี้ในปริมาณสูง เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาอะไรได้และเป็นภัยต่อสุขภาพด้วย โดยเฉพาะวิตามิน เอกับอี อาจทำให้เจ็บป่วยลงได้จริงเขาวิจารณ์การกินวิตามินในปริมาณมากเกินไปว่า คนบางคนอาจจะเท่ากับทำร้ายตนเอง เคยมีการศึกษาแสดงผลว่า การกินอาหารเสริมในปริมาณสูง อาจจะยิ่งทำให้เสี่ยงกับมะเร็งบางอย่างมากขึ้น โดยมีหลักฐานที่เชื่อมั่นได้ว่า คอยาที่กินอาหารเสริมที่มีเบตา-แคโรทีนมากเกินไป จะยิ่งเสี่ยงกับมะเร็งปอดหนัก.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อ้างอิง http://variety.teenee.com/science/18968.html

10 เคล็ดลับพิชิตสูตรคำนวณ




ไปดูกันเลยจ้า.....

1. ปิดคอมพิวเตอร์ ปิดทีวี เพลง หรือสิ่งเร้าที่เราคิดว่า เราอ่านหนังสือนานไม่ได้แน่ๆ ไม่มีสมาธิแน่ๆ ให้ปิดไปเลย หรือนำมันไปไกลๆเลย

2. ห้ามนั่งอ่านหนังสือ หรือนอนอ่านหนังสือบนเตียงเด็ดขาดดดด!! เพราะรับรองได้เลยว่า คุณอ่านไปไม่ถึง 2 ชั่วโมง หนังตาของเราอาจจะเริ่มปิดก็เป็นได้

3. เตรียมหนังสือพวกที่เป็นตะลุยโจทย์ ,หนังสือเรียน ,หนังสือคู่มือที่มีเนื้อหาบทเรียน ,หนังสือสรุปสูตรในแต่ละบท

4. ขอสมุดคู่ใจ ที่เราคิดว่าชอบเล่มนี้ อยากเขียนลงไป อยากพกติดตัว จะมีเส้นหรือไม่มีเส้นก็ได้ตามความถนัดของแต่ละคนเลย

5. เตรียมปากกาสี,ปากกาเน้น ไว้ข้างๆ กายเลย เพื่อช่วยในการจดจำ น่าอ่านอีกด้วย

6. เมื่อเตรียมอุปกรณ์ ครบพร้อมหมดแล้ว ขอให้คุณหลับตานั่งนิ่งๆ สัก 3-5 นาที หรือจะเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ หรือเพลงโมสาร์ท หลับตานั่งฟังสัก 1 เพลงจบก็ได้

7. เปิดหนังสือเรียน หรือหนังสือคู่มือ ที่มีเนื้อหาของบทเรียนที่เราจะอ่าน แล้วเริ่มจดสูตร หรือข้อความสรุป ข้อความสำคัญเขียนแบบสั้นๆ และสรุปอย่างได้ใจความ ลงไปในสมุดเล่มโปรด แล้วสามารถนำปากกาสีมาเขียนมิกส์กันให้น่าอ่านได้ด้วย ข้อความไหนสำคัญก็ให้ใช้ปากกาเน้นไว้เลยย
สำหรับบางคนที่ไม่ชอบอ่านแล้วต้องมานั่งสรุปในสมุด ก็สามารถใช้ปากกาสีขีดใต้ข้อความสำคัญ หรือใช้ปากกาเน้นข้อความลงไปในหนังสือคู่มือหรือหนังสือเรียนเลยก็ได้

8.เมื่อได้เนื้อหาสาระสำคัญๆ รวมถึงสูตรต่างๆแล้ว ก็ขอให้ลองนั่งท่องจำสักพักนึง จนคิดว่าน่าจะจำได้แล้ว และลองปิดหนังสือ ปิดสมุด เขียนสูตรที่เราจำได้,ข้อความหรือทฤษฎีที่เราท่องไว้นั้น มาเขียนในเศษกระดาษดูหลังจากนั้นตรวจทานและเช็คดูในหนังสือว่า ตรงกันกับที่เราเขียนไหม สูตรครบหรือเปล่า ทฤษฎีแม่นจริงไหม

9. เมื่อเราจำสูตร ทฤษฎี ข้อความที่เราสรุปได้แล้ว ก็นำหนังสือตะลุยโจทย์มานั่งทำโจทย์ไปเลย หากลืมสูตรก็เปิดดูสูตรนั้นอีกครั้ง และทำโจทย์ที่ใช้สูตรนั้นหลายๆ ข้อ มันจะทำให้เราสามารถจำสูตรได้เองอัตโนมัติ บางทีโจทย์แต่ละข้อนั้น ก็จะมีการพลิกแพลงสูตรด้วย เพราะฉะนั้นต้องฝึกทำโจทย์หลายๆ แนว หลายๆ ข้อ ย้ำ!! สูตรและทฤษฎีต้องจำและแม่นจริงๆด้วยนะ

10. เมื่อตะลุยฝึกโจทย์ไปแล้วจนเราเริ่มจำสูตรได้จริงๆ เริ่มรู้แนวโจทย์ของแต่ละบทแต่ละสูตรแล้วขอให้คุณลองเขียนทฤษฎี สูตรทั้งหมด ข้อความที่สำคัญๆ ลงในกระดาษว่างๆ 1 แผ่น เขียนเท่าที่จำได้"แล้วลองคิดสิว่า ที่เราจำได้เท่านี้ จะดีพอไปสู่การสอบได้แล้วหรือยัง"
หากยัง ขอให้อ่านหนังสือ และตะลุยโจทย์เป็นเรื่องๆ ต่อไป เพราะยังไงถึงแม้เราทำแล้วผลออกมาเราอาจจะสอบตก แต่เราอย่าได้เสียใจ เพราะอย่างน้อยเราได้เต็มที่กับสิ่งที่เราทำไปแล้ว และอย่าท้อแท้ สิ้นหวังได้ง่ายๆ เพราะยังไงคนที่จะประสบความสำเร็จได้ คงไม่พ้นความพยายาม

อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/20993.html

ผมสวยด้วยสมุนไพร

สมุนไพรนอกจากใช้รับประทาน ยังนำมาใช้ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะได้เป็นอย่างดี สมุนไพรใกล้ตัว ปลูกริมรั้วที่บ้าน ที่สำคัญสมุนไพรพวกนี้ไม่เสี่ยงต่ออาการแพ้ เพราะธรรมชาติล้วน ๆ ไม่มีสารเคมีมาเจือปนให้รำคาญใจ แต่ก่อนอื่นต้องวิเคราะห์ว่า เรามีปัญหาอะไร? นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรอีกมากที่เป็นประโยชน์กับเส้นผมและหนังศีรษะ ต่อไปก่อนซื้อแชมพู อ่านส่วนผสมก่อนว่ามีที่เราต้องการหรือยัง ?

ผมร่วง : ใครที่ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ สระทีผมหลุดออกมาเป็นกระจุก ปล่อยไว้เสี่ยงหัวล้านแน่ รีบหาน้ำมันมะกอกมาทาผมให้ทั่วแล้วนวดศีรษะทำสักพักค่อยล้างออกด้วยสบู่ หรือแชมพู ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ไม่เกิน 1 เดือนผมจะค่อย ๆ หยุดร่วง

รังแค : เมืองไทยคงไม่มีวันมีหิมะตกแน่ ๆ เพราะฉะนั้นใครมีรังแค ไหนจะเสียบุคลิก ไหนจะคันแย่ แนะนำผลมะคำดีควายทุบพอแหลก ต้มในน้ำให้เดือด นำน้ำที่ได้สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะทำให้หนังศีรษะสะอาด ป้องกันการเกิดรังแค แถมแก้โรคชันตุได้อีกด้วย ส่วนใครที่มีอาการคัน ให้นำว่านหางจระเข้ปลอกเปลือก เอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้นมาบดประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เวลาสระผมให้ขยี้วุ้นว่านหางจระเข้ทาให้ทั่วผมทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที ล้างออกให้สะอาด ช่วยบำรุงหนังศีรษะ ลดอาการคันได้ชะงัด

เหา : สูตรเดิมที่เคยรู้ใบน้อยหน่ายังใช้ได้อยู่ เด็ดมาสัก 8 ใบ โขลกให้ละเอียดผสมน้ำ ทาผมให้ทั่ว เอาผ้าคลุมทิ้งไว้สักครึ่งชม.ค่อยล้างออก สระผมตามอีกครั้ง แต่ระวัง! น้ำน้อยหน่าเข้าตา ขอเตือนว่าแสบมาก ใครไม่มีใบน้อยหน่าแนะนำให้ใช้ใบสะเดาแก่ ๆ แทนได้ วิธีการเหมือนกันเป๊ะ

ผมมัน : เลือกสารสกัดจากธรรมชาติ พวก แตงกวา กระเพรา เบอร์กามอท และจูนิเปอร์ ช่วยลดความมันเยิ้มของหนังศีรษะ เส้นผมหลีบแบนได้

ผมแห้ง : เลือกสารสกัดจากดอกกล้วยไม้ กระเพรา โสม ขิง ช่วยให้ผมแห้งเสียกลับมามีน้ำหนัก สปริงตัวสวยอีกครั้ง

ผมแตกปลาย : เกิดจากใช้แชมพูที่มีกรดหรือด่างมากเกินไป เลือกสารสกัดจากตะไคร้ น้ำมันมะกอก ลูกมะกรูด ลดอาการแตกปลายได้

ผมธรรมดา : นับว่าเป็นคนโชคดีสุด ๆ แต่ต้องไม่ลืมบำรุงสม่ำเสมอ ไม่งั้นสภาพผมอาจแย่ได้ เลือกที่มีสารสกัดดอกฮอลลี่ฮ็อก กระเพรา อัญชัน มะกรูด ช่วยให้ผมดกดำ เงางามยิ่งขึ้น

ขอบคุณเนื้อหาจาก สุดสัปห์ดา

ประโยคเหล่านี้ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูดนะ

อันว่าคนเราเมื่อรู้จักกัน เป็นเพื่อนแล้ว นอกจากใจที่จะต้องให้กันแล้วนั้น เรื่องการปฏิบัติต่อกันก็ต้องใส่ใจให้มาก ๆ นะคะ อย่างที่เห็นได้ชักเลยคือเรื่องการพูด บางคนเลิกคบกันไปเพราะว่าพูไม่เข้าหูกันนี่แหล่ะคุณอาจจะคิดว่าที่คุณพูดนั้นเป็นความจริง และคุณก็เป็นคนตรง ๆ อยู่แล้วเพื่อนน่าจะรู้กัน แต่คนเราคิดไม่เหมือนกันหรอกนะคะ บางครั้งการที่คุณพูดตรงเกินไปอาจจะไปทำร้ายจิตใตของอีกฝ่ายได้ มาดูกันดีกว่าว่าประโยคแบบไหนที่ควรเลี่ยง

"เรื่องแค่นี้เธอไม่รู้หรอ" ประโยคนี้ลำพังแค่พูดธรรมดาคนฟังก็รู้สึกไม่ดีแล้ว ถ้ายิ่งมีเสียงหัวเราะตามมาด้วย (อิอิอิ) อาจจะหมางใจกันไปเลยได้นะคะ เพราะว่าประโยคนี้คนพูดอาจจะแค่พูดเฉย ๆ ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง แต่คนฟังเค้าอาจจะรู้สึกว่า เหมือนเค้าเป็นคนโง่มาก ถ้ามีเสียงหัวเราะด้วยเค้าจะยิ่งคิดว่าเค้าโง่ที่สุดในโลกเลยใช่มั้ยเนี่ยที่ไม่รู้ ลองเปลี่ยนใหม่เป็นเมื่อก่อนฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน หรือ ฉันเองก็เพิ่งมารู้ว่า ...... แบบนี้จะดีกว่านะคะ ไม่ดูเป็นการอวดภูมิเกินไปด้วย


"ความคิดของเธอไม่เห็นจะเข้าท่าเลย" ประโยคแบบนี้ออกแนวเผด็จการไปหน่อยนะคะ แถมยิ่งจะทำให้คนฟังคิดได้ว่า เรานี่มันไม่เคยถูกเลยใช่มั้ย ลองเปลี่ยนใหม่เป็น ฉันคิดว่า ..... หรือไม่ก็อาจจะเป็น อืม ...เราคิดแบบ ...... น๊ะ ซึ่งมันจะนุ่มนวลกว่าประโยคแรกเยอะหน่อย"อย่ามายุ่งกับฉัน" ประโยคนี้เราอาจจะได้ยินก็ต่อเมื่อผู้พูดอยู่ในอารมณ์ไม่ดี อาจจะด้วยอกหัก โดนดุหรืออะไรก็ว่ากันไป เมื่อมีคนมาปลอบใจเลยอาจจะเผลอพูดออกมาได้ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ฟังก็จะต้องรู้สึกแบบ อะไรเนี่ย อุตสาห์จะเข้าไปปลอบ ทำไมต้องพูดแรงจัง เราเข้าใจนะว่าในอารมณ์นั้นเราอาจจะเผลอพูดออกไปได้ แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าคุณลองระงับอารมณ์ แล้วฝึกพูดว่า ขออยู่คนเดียวสักพักนะ หรือไม่ก็ ตอนนี้อารมณ์ไม่ดีมาก ๆ อีกแป๊บนึงค่อยคุยกันนะ ถ้าคุณพูดแบบนี้รับรองว่าเพื่อน ๆ ต้องเข้าใจอารมณ์ในตอนนั้นของคุณว่าคงต้องการเวลาให้ตัวเองก่อนสักพักแน่ ๆ ค่ะ


"ไม่ใช่โกงการอะไรของเธอ" / "ไม่ใช่เรื่องอะไรของเธอนี่" สองประโยคนี้ถ้าใครได้ยินเข้าคงไม่ปลื้มแน่ ๆ (เราคนหนึ่งล่ะ) บางครั้งเราอยากจะช่วยเหลือเพื่อนด้วยใจจริง ๆ แต่มาเจอคำพูดแบบนี้ก็อาจจะสะอึกเอาได้ง่าย ๆ ก่อนที่คุณจะพูดสองประโยคนี้ ให้คิดดี ๆ ก่อนนะคะ เพราะว่าเป็นประโยคที่ไม่น่ารักเอาเสียเลย ลองเปลี่ยนใหม่เป็นว่า ขอลองจัดการเองก่อนนะ เดี๋ยวไม่ไหวจะขอใช้บริการแน่นอน หรือไม่ก็ เดียวขอเคลียร์เองก่อนนะ ถ้าไม่ได้เรื่องคงต้องให้ช่วยเธอช่วยอีกแรงนะ อย่างนี้น่าจะดีกว่านะคะ

การคบกับผู้อื่นนั้นควรคิดอยู่เสมอว่าให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา หากเราไม่อยากให้เขาทำตัวแย่ ๆ กับเรา เราก็ต้องไม่ทำตัวแย่ ๆ ใส่เขานะคะ แล้วจะได้คบกันได้นาน ๆ ค่ะ

อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/21081.html

‘มะเร็งตับ’ ไม่แสดงอาการ ฆ่าคุณได้ใน 3 เดือน

กลายเป็นโรคร้ายน่ากลัวไม่แพ้ มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก ที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้า เพราะ มะเร็งตับ ที่มุมสุขภาพจะกล่าวถึงตลอดสัปดาห์นี้ มีอานุภาพแห่งการทำลายล้างชีวิตของคุณได้แบบไม่ทันตั้งตัว เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้มักจะไม่แสดงอาการ และเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในประเทศไทย โดยเพศชายถูกพบว่าป่วยเป็นโรคดังกล่าวมากกว่าเพศหญิงถึง 2 เท่า หากรักษาไม่ทันท่วงที สามารถเสียชีวิตลงได้ภายใน 3 – 6 เดือน ซ้ำร้ายโรคนี้ยังมีอัตราการรอดชีวิตอยู่ในขั้นต่ำ
มะเร็งตับมีทั้งแบบที่เกิดขึ้นกับตับโดยตรง เรียกว่า มะเร็งปฐมภูมิ ส่วนใหญ่มักจะเข้าไปทำลายเซลล์ตับ และเซลล์ท่อน้ำดีตับ อีกแบบเรียกว่า มะเร็งทุติยภูมิ เป็นการลุกลามของมะเร็งชนิดอื่นมาสู่ตับ
สาเหตุก่อมะเร็งในเซลล์ตับ คือ การได้รับหรือเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ส่วนมะเร็งท่อน้ำดีตับ มักเกิดกับผู้ที่นิยมรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของดินประสิว หรืออาหารตากแห้งชนิดต่าง ๆ รวมทั้งมีเชื้อพยาธิใบไม้ตับที่อยู่ในปลาน้ำจืดปรุงไม่สุก
แม้ถูกระบุว่าเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการ แต่หากรู้สึกเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย น้ำหนักลด มีไข้ต่ำ แน่นท้อง ท้องผูก ปวดหรือเสียดชายโครงด้านขวาและอาจคลำเจอก้อนเนื้อ ประกอบกับตัวและตาเหลือง ขาบวม พุงโต ให้รีบพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด เพราะอาการดังกล่าวถือเป็นภาวะเสี่ยงของมะเร็งตับ
ทางเลี่ยงและลดความเสี่ยง ควรตรวจเลือดเป็นประจำทุกปีเพื่อตรวจหาว่าติดเชื้อไวรัสหรือไม่ ทั้งควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น ถือเป็นการป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี รับประทานอาหารที่ปรุงสุก ไม่มีส่วนผสมของดินประสิวหรือสารกันบูด รวมถึงเลี่ยงอาหารที่อาจมีเชื้อราปะปน พร้อมทั้งลด ละ เลิกดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/21167.html

นักวิจัยระบุว่า อวัยทั้งสามคือ ตา หู และผิวหนัง สามารถทำหน้าที่สลับกันได้

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่งเผยแพร่ออกมา ระบุว่า มนุษย์เรามิได้มีตาไว้ดู มีหูไว้ฟัง หรือมีผิวหนังไว้รับการสัมผัสเท่านั้น อวัยวะทั้งสามนี้ ยังสามารถสลับหน้าที่ซึ่งกันและกันได้ด้วย
ความรู้พื้นฐานทางประสาทวิทยาสอนไว้ว่า ระบบการฟังของร่างกายทำหน้าที่บันทึกเสียง ในขณะที่ระบบการมองบันทึกภาพ กล่าวได้ว่า ระบบประสาทแบ่งหน้าที่ทำงาน โดยไม่มีการสลับงาน และเมื่อสมองรับเสียง และภาพจากระบบทั้งสองที่แยกจากกันแล้ว จึงจะนำเสียงและภาพไปผสมรวมกันให้
แต่ผลงานวิจัยที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาแสดงให้เห็นว่า สมองของเรานั้นสามารถอาศัยเสียงเพื่อมองดู และใช้แสงเพื่อรับฟังได้
มีการทดลองให้ลิงหาแหล่งที่มาของแสง เมื่อส่องแสงสว่าง การหาแหล่งที่มาทำได้ง่ายมาก แต่ทำได้ยากขึ้นเมื่อหรี่แสงลงต่ำ แต่ถ้าส่งเสียงประกอบแสงสลัวนั้นด้วยแล้ว ลิงสามารถหาแหล่งแสงได้อย่างรวดเร็ว รวดเร็วเกินกว่าที่จะอธิบายได้ด้วยความรู้เรื่องประสาทวิทยาอย่างที่เคยเรียนกันมา
นักวิทยาศาสตร์บันทึกปฏิกิริยาของแซลล์ประสาท และพบว่าเมื่อให้เสียงประกอบแสงสลัว แซลล์ประสาททำงานเสมือนกับว่า แสงนั้นมีความสว่างมากขึ้น ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเร็วจนนักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่า จะต้องมีการติดต่อกันโดยตรงระหว่างหูกับตา หมายความว่า แซลล์ประสาทของเราสามารถสลับหน้าที่ทำงานกันได้
ทีมงานวิจัย ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันและฝรั่งเศส ให้ความเห็นว่า อาจใช้ผลงานวิจัยนี้ ช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมคนตาพิการจึงมีประสาทการรับฟังเฉียบคมเป็นพิเศษ ในขณะที่คนหูหนวกมักจะมองเห็นภาพได้ดีกว่าคนทั่วไป ขณะเดียวกัน ประสาทสัมผัสก็อาจช่วยทั้งการมองและการฟังได้ด้วย
นักวิทยาศาสตร์ในแคนาดาทดลองให้อาสาสมัครรับฟังการออกเสียงพยัญชนะที่ใกล้เคียงกัน อย่างเช่น อักษร p, t, b, และ d และพบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ถูกแตะที่ผิวหนัง เมื่อรับฟังการออกเสียง สามารถระบุตัวอักษรได้อย่างถูกต้องทุกตัว เปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่ไม่ถูกแตะตัว
ส่วนการแตะต้องที่ผิวหนังช่วยการมองอย่างไรนั้น นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ให้นึกถึงเวลาเราตบยุงก่อนจะเห็นตัวยุงด้วยซ้ำไปเป็นตัวอย่าง หรืออาจจะได้เคยเห็นข่าวทางโทรทัศน์ ที่แสดงให้เห็นประธานาธิบดีบารัค โอบาม่าตบแมลงวันในขณะที่นั่งให้สัมภาษณ์อยู่กับผู้สื่อข่าวในทำเนียบไว้ท์ เฮ้าส์เมื่อหลายเดือนมาแล้วเป็นตัวอย่างก็ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก VOANews
อ้างอิง http://variety.teenee.com/science/21175.html

ระวัง ยาปลอมระบาด

สหภาพยุโรปเผย ปริมาณยาปลอมที่นำเข้าประเทศสมาชิกอียูเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง อย่างน่ากลัว แค่ 2 เดือน จนท.ตรวจยึดได้ กว่า 34 ล้านเม็ด เผยส่วนใหญ่มาจากอินเดีย
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างนายกันเตอร์ เวอร์ฮูเก็น คณะกรรมาธิการด้านอุตสาหกรรมของสหภาพยุโรป ให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์รายวัน ดี เวลต์ ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อวันจันทร์ 7 ธ.ค.ว่า ปริมาณยาปลอมที่นำเข้าประเทศสมาชิกอียูเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องกันอย่างน่ากลัว เฉพาะ 2 เดือนเจ้าหน้าที่ด่านตรวจสามารถยึดยาปลอมทั้งยาฆ่าเชื้อ ยารักษามะเร็ง ยาไวอากร้า รวมถึงยาแก้โรคมาลาเรีย ยาลดระดับคอเลสเตอรอลและยาแก้ปวดถึง 34 ล้านเม็ด จากรายงานของอียูเมื่อเดือนก.ค. ระบุว่า ยาเก๊ที่ยึดได้ตลอดปี 2551 มาจากอินเดีย
นายเวอร์ฮูเก็น กล่าวว่า ถือเป็นการกระทำเข้าข่ายอาชญากร และสมควรลงโทษขั้นหนัก เพราะเท่ากับฆ่าผู้อื่นจำนวนมาก คาดว่าอียูจะเห็นดีด้วยกับการเข้มงวดตรวจขันโรงงานผลิตยาที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในปี 2553 อาจติดฉลาก ใช้บาร์โค้ดหรือปิดผนึกต่อต้านยาปลอมบนกล่องบรรจุ รวมถึงตั้งมาตรการสอดส่องผู้จำหน่ายสินค้าให้มากขึ้น หลังคณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในอียูตอบรับข้อเสนอทางกฎหมายเมื่อเดือน มิ.ย.เพื่อหยุดยาปลอมเล็ดลอดเข้ามาผ่านระบบจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์
อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/21177.html

18 คำที่เหมือนกัน แต่ความหมายแตกต่างกันของชาย-หญิง

1.ความคิดถึง
ผู้หญิง = เพิ่งแยกจากเรามาแค่ครู่เดียวเอง ก็คิดถึงอยากเจอหน้าเจาอีกแล้วน่ะ
ผู้ชาย = ความคิดถึงก็เหมือนการได้ลงเตะฟุตบอลที่เราอยากเตะพอได้เตะแล้วก็หายอยาก

2.การจีบ
ผู้หญิง = เขาเข้ามาคุยกับเราบ่อยๆอย่างนี้ เขากำลังจีบเราอยู่แน่เลย
ผู้ชาย = บางครั้งการจีบก็เป็นแค่การทดสอบความสามารถของตัวเอง ไม่ได้รู้สึกจริงจังเลย

3.การตกหลุมรัก
ผู้หญิง = การก้าวขาหล่นลงไปในหัวใจของเขา ลึกจนยากจะปีนขึ้นมาง่ายๆ
ผู้ชาย = การเดินสะดุดขาอ่อนของเธอ อาจจะเซไปบ้างแต่ไม่ถึงกับทำให้เสียการทรงตัว

4.หัวใจ
ผู้หญิง = อวัยวะที่ยกให้เขาไปแล้ว ก็ไม่อยากให้เขาส่งคืน
ผู้ชาย = อวัยวะที่ให้ในการหายใจอะดิ

5.แฟนเก่า
ผู้หญิง = คนรักของวันวานที่ถ้าบังเอิญเจอหน้าในวันไหน ก็ทำให้ใจสั่น
ผู้ชาย = ใคร? เธอคือใครหรอ จำไม่ได้แล้วอะ

6.แฟนใหม่
ผู้หญิง =คนรักของวันนี้ที่เราอยากให้เป็นคนรักของวันหน้า ไปนานๆ
ผู้ชาย = แฟนของวันนี้ แต่วันหน้าค่อยว่ากันอีกที

7.โทรศัพท์
ผู้หญิง = เครื่องมือสื่อสารที่ช่วยสื่อความคิดถึง
ผู้ชาย = เครื่องมือสื่อสารที่เธอมีไว้คอยโทรจิกตามตรวจสอบเราทุกที่ ทุกเวลา

8.ความเหงา
ผู้หญิง = แค่ไม่มีเขาเราก้อเหงาเหลือเกิน
ผู้ชาย = 365 วันไม่เหงา เพราะเราไม่ขาดเพื่อน

9.ดอกไม้
ผู้หญิง = เดินผ่านร้านดอกไม้ทีไร อยากให้เขาซื้อให้เรา แค่ดอกเดียวก็พอ
ผู้ชาย = ก็แค่ดอกไม้ดอกเดียว ทำไมเธออยากได้อะไรนักหนา

10.จูงมือ
ผู้หญิง = เป็นแฟนกันแรกๆ เขาจูงมือเราไม่ยอมปล่อย
ผู้ชาย = โอ้ย ผมไม่ได้เด็กๆแล้วนะ ต้องจูงมือข้ามถนนด้วย

11.หึง
ผู้หญิง = รักคือหึง…หึงคือรัก ไม่รักไม่หึง ไม่หึงถ้าไม่รัก
ผู้ชาย = ที่ผมเผลอลงไม้ลงมือกับคุณน่ะ เพราะผมหึงนะ

12.น้ำตา
ผู้หญิง = เครื่องมือที่ช่วยลดความเครียดตามธรรมชาติ
ผู้ชาย = เครื่องมือเรียกร้องความสนใจของผู้หญิง

13.เดทครั้งแรก
ผู้หญิง = เหตุการณ์ตื่นเต้นที่สุดอีกครั้งในชีวิต เขาจะพาเราไปนั่งกินอาหารร้านไหนนะ
ผู้ชาย = เหตุการณ์ผลาญเงิน หวังว่าเธอคงไม่เห็นแก่กิน เลือกร้านแพงๆเหมือนยัยคนก่อน

14.ช้อปปิ้ง
ผู้หญิง = กิจกรรมสุดโปรด ได้ทำแล้วเหมือนมีสารเอ็นโดรฟินหลั่งออกมา
ผู้ชาย = เครียดก็ช้อป มีความสุขก็ช้อป อารมณ์ปกติก็ช้อป ผู้หญิงโรคจิต!

15.การสารภาพรัก
ผู้หญิง = เป็นแฟนกันมาตั้งนาน แค่คำว่ารักคำเดียว เขายังไม่เคยพูดให้เราได้ยินเลย
ผู้ชาย = เป็นแฟนกันมาตั้งนาน คำว่ารักคำเดียวจะสำคัญอะไรนักหนา

16.อกหัก
ผู้หญิง = ทำลายของๆเขา ฉีกรูปคู่ทิ้ง เก็บตัวอยู่ในห้อง ฯลฯ เจ็บนี้อีกนาน
ผู้ชาย = กินเหล้า,จีบดะ,เที่ยวกระจาย ฯลฯ 3 วันหายอกหัก

17.งอน
ผู้หญิง = ดูเขาเถอะ! หาเรื่องให้เราต้องงอนอีกแล้ว
ผู้ชาย = ดูมัน! งอนได้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ

18.ง้อ
ผู้หญิง = ดีใจจังเขาง้อเราแสดงว่าเขายังรักเราอยู่
ผู้ชาย = เซ็ง! ต้องแกล้งง้อไปงั้นแหละ ดีกว่าต้องทนเห็นหน้าที่เป็นตูดของเธอ

อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/21261.html

เวลาไหนที่ผู้ชายไม่อยากให้ผู้หญิงอยู่ใกล้

โดย ดี.เจ เพชรจ้าจริงๆ ต้องบอกไว้ก่อนว่า ผู้ชายที่เป็นชายแท้ ไมใช่ตุ๊ด เขาก็อยากให้ผู้หญิงอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลานั่นแหละ แต่ถ้าจะคาดคั้นเอาคำตอบละก็ มีหลายช่วงเวลาเลยล่ะ

1 กำลังตั้งใจทำงานการทำงานทุกอย่างเราต้องใช้สมาธิ ไม่สามารถทะเลาะกับแฟนได้ ยิ่งช่วงเวลาทำงาน หรือก่อนมาทำงาน เพราะเราจะเครียดและไม่มีอารมณ์ทำงาน สำหรับบางคนที่เจอมาเยอะ เขาจะสร้างกำแพงไว้เลยว่าเวลาทำงานเขาอยากอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นคุณควรจะเข้าใจเขา

2 เวลาเล่นเกมงงสิ เกมมันสำคัญกว่าฉันหรือไงยะ ผู้ชายบางคนสามารถนั่งเล่นเกมได้ 4-5 ชั่วโมง ติดต่อกันโดยไม่ทำอะไรเลย บางคนเป็น 10 ชั่วโมง ก็มี (นี่ก็เป็นหนึ่งสาเหตุของการเลิกกันกับแฟน หลายคู่แล้ว) มันสนุกยังไงน่ะเหรอ จริงๆ แล้วผู้ชายเป็นเพศที่ชอบเอาชนะ นอกจากสาวๆ คนอื่นที่เราอยากเอาชนะแล้ว ศัตรูตัวดีอีกอย่างก็คือเกมนี่แหละ ลองมองโลกในแง่ดี ยังไงซะติดเกมก็ดีกว่าติดหญิงนะจ๊ะ

3 เวลาดูบอลอย่าได้มาเข้าใกล้เชียวถ้าคุณดูบอลไมเป็นมันจะเกิดการทะเลาะกันอย่างแน่นอน เพราะคนที่ดูบอลไม่เป็น มองเข้าไปในจอทีวีก็เห็นแต่จอเขียวๆ มีผู้ชายวิ่งไปวิ่งมา สนุกตรงไหนเนี่ย อันทีมที่แพ้ก็ก็เป็นอีกทีม แล้วทำไปแฟนฉันต้องสนใจมัน หันมาคุยกันสัก 10 นาทีก็ไม่ได้ เพราะจะบอกให้ มันก็เหมือนเวลาสาวๆ ไปดูหนังในโรงนั่นแหละ อยากให้มีคนมาชวนคุย หรือชวนไปห้องน้ำหรือเปล่าล่ะ

4 ขณะกำลังมีเรื่องชกต่อยเพราะผู้ชายร้อยทั้งร้อย เวลามีเรื่องต้องสู้เสมอ ยกเว้นใจตุ๊ด ยอมไป 55 เวลามีเรื่องอดรีนาลินจะพุ่งปรี๊ดเหมือนรถไฟเหาะ พร้อมสู้ตลอดเวลา แต่สาวข้างกายมักพูดว่า อย่ามีเรื่องกันเลยนะคะ ยอมๆ เขาไปเถอะ รีบกลับเถอะ (จากประสบการณ์ตรง) จะบ้าหรือไงเธอ ก็บอกแล้วไงว่ามันเหมือนรถไฟเหาะ ถ้ามีคนมาห้ามเธอไม่ให้กรี๊ด อย่ารอ้ง อย่าเสียวนะ จะทำได้ไหม

5 เวลาเล่นการพนันสาวๆ อาจงงว่ามีอย่างนี้ด้วย ผมคร่ำหวอดมาทุกวงการ ผู้ชายบางคนเป็นเอามากถึงขนาดคิดว่าเมียตัวเองเป็นตัวซวย มาด้วยแล้วเสีย ซวยจริงๆ มันเกี่ยวกันทีไหนล่ะ ผู้ชายชอบคิดไปเองว่า เวลาเล่นเสียเมียชอบชวนให้กลับ พอเล่นได้เมียก็ให้รีบกลับอีก เฮ้อ..แล้วแบบนี้จะมาเล่นทำไม บางคนเล่นจนหมดตัว อาจเอาเมียไปขายได้ เพราะฉนั้น อย่าไป

6 เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนผู้ชาย (ล้วน) เพราะอะไรเหรอ เรื่องนี้ผู้ชายเขารู้กัน ก็เพราะเกะกะนะซิครับ ไหนจะเวลาคุยเรื่องผู้ชาย มันมีความลับบางอย่างที่แฟนฟังไม่ได้ (เรารู้นะว่าสาวๆ ก็มีเหมือนกัน 55 ) มันโม้กันไม่ถนัด หรือถ้าจะขุดเอาวีรกรรมเด็ดในอดีตมาพูด สาวๆก็รับไม่ได้อีก ไม่ต้องมาอ่ะ ดีแล้ว บางทีเราก็อยากแอบไปเหล่สาว จีบสาว อะไรกันบ้าง ไม่ได้นอกใจนะ แต่ขอซ้อมมือบ้าง เช็คเรทติ้งบ้าง

7 เวลาร้องไห้ในโลกนี้ไม่มีผู้ชายที่ไหนอยากให้ผู้หญิงมาเห็นน้ำตาของเขาหรอก เพราะน้ำตาหมายถึงความอ่อนแอ ไม่มีใครอยากให้ชาวบ้านรู้หรอกว่าอ่อนแอ เพราะฉนั้นเวลาแอบเห็นหนุ่มของตัวเองร้องไห้ ก็ให้เวลาเขาสักแป๊บ เออ เรามีข้อสังเกตให้นะ ผู้ชายที่เวลาดูหนังเกาหลีแล้วร้องไห้เนี่ย ว่ากันว่าเป็นผู้ชายโรแมนติกมา ลองไปจับผิดดู

ที่มา : COSMOPOLITAN
อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/21281.html

เนื้อแท้ของคนโกหก

“พวกเราส่วนใหญ่ชอบพูดปด ซึ่งก็ไม่ได้มีพิษภัยมิใช่หรือ”
ในชีวิตของคนเรานั้น ต้องมีสักครั้งละที่โกหก ซึ่งโดยส่วนใหญ่เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้เกิดความอับอาย หรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากแรงกดดันภายนอกของสังคม เราลองมาแยกแยะประเภทของการโกหกดูสิครับว่าได้สักกี่ประเภท


1. โกหกเพื่อมารยาท เป็นประเภทที่มีผลเสียน้อยที่สุดเพราะไม่มีเจตนาจะทำให้คนอื่นเสียหายหรือเป็นอันตราย แต่มีเจตนาเพื่อจะทำให้คนอื่นพอใจเรียกว่าเป็นการรักษาน้ำใจกัน เช่น “ไม่ได้พบกันตั้งนาน สวยไม่เปลี่ยนเลย” คนส่วนใหญ่มักจะไม่คิดว่าเป็นการโกหกด้วยซ้ำ นอกจากคนที่จริงจังต่อโลกเกินไปต่อต้านพฤติกรรมนี้เพราะถือว่าไม่จริงใจต่อกัน

2. โกหกเพื่อป้องกันอันตราย เป็นการโกหกประเภทที่ใช้มากที่สุด เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่จะต้องป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเพื่อความอยู่รอด ลงไปถึงความเจ็บปวด ขมขื่น ละอายใจ อับอาย แม้กระทั่งเรื่องของศักดิ์ศรี

3. โกหกเพื่อผลประโยชน์ เป็นประเภทที่ใช้มากพอกัน เพื่อป้องกันอันตรายที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์โดยตรง เช่น ขู่ให้ฝ่ายตรงห้ามรู้สึกกลัว เป็นการป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้น และอาจมีผลในการเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วย ซึ่งถือเป็นผลประโยชน์ อย่างไรก็ตามการโกหกเพื่อผลประโยชน์อาจไม่จำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอันตรายเสมอ เช่น การโฆษณาชวนเชื่อ เป็นต้น

4. โกหกเพื่อหาความยุติธรรม เป็นการโกหกเพื่อฝึกนิสัยมนุษย์ให้ไม่เห็นแก่ตัว มักจะเกี่ยวข้องกับคำมั่นสัญญา กฎเกณฑ์หรือกติกาต่างๆ เช่น พ่อแม่บอกกับลูกๆ ว่ารักลูกเท่ากันหมดทุกคน , พ่อค้าสัญญาต่อกันว่าจะไม่ค้าขายทำลายกันเอง เป็นต้น กฎและกติกานี้ ยังรวมถึงเรื่องจริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพอีกด้วย

5. โกหกเพื่อหาความจริง การโกหกประเภทนี้มักเป็นพวกนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย นักกฎหมาย และความศรัทธาในศาสนา มีนักวิทยาศาสตร์ไม่น้อยที่ต้องบิดเบือนความจริงในการทดลอง นักวิจัยไม่น้อยที่ได้ผลออกมาแล้วผิดเป้าหมายที่ตั้งไว้ จึงพยายามหาหลักฐานต่างๆ มาอ้างอิงมาแทนความจริงที่เกิดขึ้น หรือคนที่ต้องการเผยแผ่ศาสนาอาจใช้วิธีในการจูงใจให้ผู้อื่นคล้อยตาม

6. นักโกหกอาชีพ เป็นคนที่โกหกในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องโกหกจนดูเป็นงานประจำไป คนประเภทนี้มีพรสวรรค์ในการพูด การสร้างเรื่อง เพราะตัวเขาเองยืนอยู่ระหว่างกลางของความจริงกับจินตนาการ นักโกหกอาชีพนั้นไวกว่านักโกหกจำเป็นมาก เขาจะรู้ทันทีว่ามีใครกำลังจับโกหกเขาอยู่ แล้วเขาก็จะหันมาเปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องจริงบ้างเรื่องแต่งบ้าง จนคนจับไขว้เขวไปเอง

ลักษณะของคนชอบโกหก ดูเป็นคนน่าสนใจ น่าคบ มีลักษณะเชื่อมั่นในตนเอง โดยเฉพาะในด้านความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ เป็นคนมีเพื่อนมาก ท่าทางดูเป็นกันเอง แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหน้ากาก เป็นบุคลิกปลอมที่สร้างขึ้นมา เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ภายในใจ ความจริงแล้ว เขาเป็นคนว้าเหว่ มีปมด้อย ชีวิตไร้จุดหมาย ขาดความเชื่อมั่น ไม่สนิทกับใครได้อย่างจริงใจเพราะไม่ค่อยไว้ใจคน และเหนือสิ่งอื่นใดคือ ความรู้สึกละอายใจที่เกาะฝังอยู่ในส่วนลึกของความกลัวนั่นเอง


ขอบคุณบทความจาก ลานธรรมจักร
อ้างอิง http://variety.teenee.com/saladharm/21493.html

ทำอย่างไร ไม่ให้หวัดถามหา

เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานว่า หวัดเป็นโรคที่มนุษย์เราเป็นกันมากที่สุดหรือเปล่า เพราะไม่มีใครที่ไม่เคยเป็นหวัด จากข้อมูลของ U.S. Centers for Disease Control and Prevention (CDC) พบว่าหวัดเป็นสาเหตุของการขาดงานและขาดเรียนมากที่สุดในสหรัฐ ภายในหนึ่งปี ปรากฎว่าจำนวนวันที่นักเรียนลาป่วยด้วยสาเหตุจากหวัดรวมแล้วถึง 22 ล้านวันในแต่ละปี มีเชื้อไวรัสมากกว่า 200 ชนิดที่ทำให้เกิดโรคหวัด ซึ่งจะมีอาการรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับเชื้อไวรัสแต่ละชนิดจนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถกำจัดโรคหวัดให้หมดไปจากโลกนี้ได้ รวมทั้งยังไม่มีวิธีที่สามารถป้องกันกันแพร่ของโรคหวัดได้อย่าง 100% วิธีที่ดีที่สุดก็คือการลดโอกาสที่เราจะติดหวัดจากผู้อื่น โดยการปฏิบัติตัวง่ายๆดังนี้

1. ล้างมือบ่อยๆ วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการแพร่เชื้อและรับเชื้อหวัด การล้างมือเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อต้องติดต่อทำธุระในที่สาธารณะไม่ว่าจะเป็นการ Shopping การออกกำลังกาย ดูหนัง ฯลฯ การล้างมือจะเป็นการทำลายเชื้อไวรัสซึ่งติดอยู่ที่มือของเรา หลังจากการสัมผัสอุปกรณ์หรือสิ่งของที่ผู้เป็นหวัดสัมผัสมาก่อนหน้านี้

2. หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นจมูก ปาก หรือตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ใกล้กับคนที่เป็นหวัดหรือหลังจากที่มือของเราสัมผัสกับวัตถุในที่สาธารณะ

3. งดสูบบุหรี่ ควันบุหรี่ทำให้เกิดการระคายเคืองในทางเดินหายใจและทำให้ง่ายต่อการติดเขื้อหวัดและเชื้อโรคอื่นๆ แม้แต่ควันบุหรึ่จากผู้อื่นก็มีผลเช่นเดียวกัน

4. แยกของใช้ของผู้ป่วยเป็นหวัด หรือเปลี่ยนไปใช้ถ้วยหรือจานกระดาษที่ใช้แล้วทิ้ง ในระหว่างที่มีคนในครอบครัวเป็นหวัด เพื่อป้องกันกันแพร่ของเชื้อหวัดผ่านการใช้ถ้วยน้ำหรือจานชามร่วมกัน

5. รักษาความสะอาดในบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามจุดที่มีการสัมผัสร่วมกันบ่อยๆ เช่นลูกบิดประตู แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ สวิทช์ไฟ โทรศัพท์ รีโมทคอนโทรล ซิงค์ เคาเตอร์ เชื่อโรคสามารถอาศัยอยู่ตามพื้นที่เหล่านี้ได้เป็นชัวโมงๆ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดก็คือหมั่นทำความสะอาดพื้นที่เหล่านี้ ด้วยน้ำและสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค

6. ถ้าในบ้านของเรามีเด็ก อย่าลืมทำความสะอาดของเล่นของเด็กๆ ทุกครั้งที่มีการทำความสะอาดบ้านเรือน

7. เปลี่ยนมาใช้กระดาษเช็ดมือ เชื้อโรคสามารถอาศัยอยู่ตามผ้าเช็ดมือในห้องครัวหรือห้องน้ำได้นานหลายชั่วโมง ถ้าหากเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง ก็ควรแยกผ้าเช็ดมือเป็นของแต่ละคนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ แล้วอย่าลืมหาผ้าเช็ดมือสะอาดๆ สำหรับแขกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก กรมอนามัย
อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/21461.html

ยาที่ต้องระวังความชื้น

ยาบางชนิด เมื่อถูกความชื้น จะเสียง่าย ดังนั้น จึงต้อง ระวัง โดยปิดขวด ให้แน่น เก็บในที่แห้ง หรือใส่สาร ดูดความชื้น เป็นต้น
ยาที่ถูกความชื้น จะเสีย คุณภาพ ยาประเภทนี้ เมื่อได้รับ ไอน้ำ จากอากาศ มักจะเกิด ปฏิกิริยา เคมี กับตัวยา เช่น

1 ยาปฏิชีวนะแทบทุกชนิด จะสลายตัว ได้มากถ้าถูก กับความชื้น เกิดเป็น สารที่นอกจาก จะไม่ให้ผล ทางการ รักษาแล้วยังทำ ให้แพ้ ได้ง่ายด้วยยาปฏิชีวนะ สำหรับเด็ก ซึ่งมัก จะทำ เป็นยาผง เมื่อจะ รับประทาน ก็เติมน้ำ และเขย่า การที่ต้อง ทำเป็นยา เตรียมในรูปนี้ เพราะยาประเภทนี้ สลายตัว ได้เร็วมากในน้ำ ถ้าละลายยา ไว้เลย จะเสียหมด จึงให้ละลาย ทีละขวด และควร เก็บยา ที่ละลาย น้ำแล้ว ไว้ในตู้เย็นเพราะจะทำ ให้ยาสลาย ตัวช้าลง

2 ยาแอสไพริน (Aspirin) เมื่อถูก ความชื้น จะสลายตัว ช้า ๆ ได้กรด 2 ชนิด ซึ่งไม่มีผล ในการลดไข้ หรือแก้ปวดี ควรสังเกต ว่ามีผลึกรูป เข็มเกาะ อยู่ที่เม็ดยา หรือไม่ ถ้ามีจำนวน เล็กน้อย อาจปัด ให้เกลี้ยงก่อน แล้วจึงกิน ถ้ามีมาก และเปิดขวด ก็ได้กลิ่นเปรี้ยว ๆ ของกรดน้ำส้ม แสดงว่า บางส่วน สลายกลาย เป็นกรด Salicylic ซึ่งระคายเคือง ต่อระบบ ทางเดินอาหาร มากขึ้น ควรทิ้งยา นั้นเสีย เพราะกิน เข้าไป จะกัด หลอดอาหาร กระเพาะ อาหารมากกว่า ตัวยา แอสไพรินเอง

3 ยาเม็ดฟู่หรือยาผงฟู่ เป็นยาเม็ด หรือยาผง เมื่อจะรับประทาน ต้องผสม ในน้ำเกิดเ ป็นฟองฟู่ เนื่องจาก กรดและด่าง โซเดียมไบคาร์บอเนต ที่มี ในตัวยา เมื่อถูกน้ำ จะทำ ปฏิกิริยากัน เกิดก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ ฟู่ขึ้นมา จุดประสงค์ ที่ทำยา ในรูปแบบนี้ เพื่อกลบรสเฝื่อนของ ตัวยา สำคัญ หากยา ถูกความชื้น ปฏิกิริยา นี้จะค่อย ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆได้ ก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ ออกมา ทีละน้อย จนในที่สุดเมื่อนำไป ใส่น้ำ จะไม่เกิด ฟองฟู่อีก

ดังนั้น ยาประเภท ที่กล่าวมา ทั้งหมดนี้ จึงต้องเก็บ ในขวดปิดแน่น อาจเป็น ขวดแก้ว หรือพลาสติก หรือแผงอลูมิเนียม หรือใส่สารดูดความชื้น

ที่มา : โรงพยาบาลตำรวจ
อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/21459.html

วิธีสังเกตอาการ เมื่อแพ้ยา

วิธีสังเกตอาการต่อไปนี้ สามารถนำไปใช้ในกรณีแพ้อาหาร หรือแพ้อย่างอื่นได้ แต่ไม่ทั้งหมด มาดูกันว่าหากคุณแพ้ยา จะทราบได้อย่างไร
- ปรากฎอาการแพ้ทางผิวหนัง เช่น ผื่นแดง ลมพิษ อาการบวมตามเปลือกตา ริมฝีปาก และมือ เท้าบวม เป็นต้น
- ปรากฎอาการแพ้ทางระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบ หายใจติดขัด แน่นหน้าอก ไอขัดๆ
- ปรากฎอาการแพ้ทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นเร็ว
- ปรากฎอาการแพ้ทางระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ส่วนอาการที่พบอื่น ๆ เช่น อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต บวมตามตัว เป็นต้น

ซึ่งความรุนแรงของอาการส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ยา เช่น ยาฉีดจะเห็นผลอาการแพ้ได้เร็วกว่ายากินและยาทาทานยาเมื่อไหร่ อย่าลืมสังเกตอาการตัวเองว่ามีการแพ้หรือไม่ ถ้ามีรีบพบแพทย์โดยด่วน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์
อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/21460.html

วิธีแก้ง่วงในเวลาเรียน

1. ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องเข้าเรียนแต่เช้า : ก็อย่าดูหนังดูละครจนดึกเกินสี่หรือห้าทุ่ม เพราะเวลานอนที่ขาดไปมันมักจะมาเอาคืนช่วงเรียนพิเศษที่มีอาจารย์ในดีวีดีมากล่อมเสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะหากนอนดึกแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะมาทำให้เราหายง่วงได้ นอกจากไปกินกระทิงแดง (แต่ก็ไม่แนะนำว่าไม่ดีต่อสุขภาพ)

2. พกขนมหรือน้ำเข้าไปด้วย : แต่ !!! ห้ามกินตั้งแต่เริ่มเรียน เพราะจะทำให้ง่วงง่ายมากกกกก ให้กินเมื่อเริ่มง่วงเท่านั้น (บางทีลองซื้อขนมที่เวลาแกะแล้วเสียงดังๆ เพราะเวลาแกะขนมนั้นจะทำให้เราตื่นเต้นและกลัวว่าคนข้างๆ จะด่า (มันมีวิธีอย่างนี้ด้วยเรอะ) ทำให้ตาสว่าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าคิดว่าจะรบกวนคนข้างๆ ละก็ ก็ให้ซื้อขนมจุกจิกเล็กๆน้อยๆไปแทน) เมื่อหายง่วงก็ให้หยุดกินแล้วตั้งใจเรียนต่อไปซะ

3. อุปกรณ์สำหรับเรียนกวดวิชา : สำคัญนะคะ เพราะเวลาเราง่วงๆ ก็หยิบปากกาสี หรือพวกไฮไลท์มาวาดๆ เขียนในหนังสือให้มันคัลเลอร์ฟูลไปเลย แต่อย่าทำให้เลอะเทอะไป เพราะเวลาทบทวนหนังสืออาจจะทำให้เรามึนได้ ให้วาดๆ เขียนๆ ด้านหลังหนังสือก็ได้ หรือไม่ก็เวลาอาจารย์ให้เน้นอะไรก็ใส่สีให้พอสวยงามก็ทำให้เราหายง่วงได้เช่นกันค่ะ แต่ถึงยังไงก็ต้องตั้งใจฟังอาจารย์อย่ามัวแต่วาดเพลินนะคะ

4. ฝึกจินตนาการผ่านกวดวิชา : ลองมองดูอาจารย์สอนกวดวิชาสิคะ ท่านจะมีอะไรให้เราได้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ ตั้งแต่คำพูดติดปากของอาจารย์ สีเสื้อผ้า ทรงผม เสียงหัวเราะของอาจารย์ บางที...มุขฝืดๆของอาจารย์ก็ช่วยพวกเราจากความง่วงงันได้เหมือนกันนะ

5. สำหรับคนที่ชอบหลับคาโต๊ะกวดวิชา : เราขอแนะนำ!! ให้ลองก้มลงไปนอนโต๊ะคนอื่นดูค่ะ (หา!!) แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย (แต่จะได้เบ้าตาหมีแพนด้ามาแทน ...อ้าว)

6. ตั้งใจฟังอาจารย์ : เรียนให้เต็มที่ คำนวณอะไรก็คิดๆๆๆๆๆ คิดผิดก็คิดมันไป อาจารย์เฉลยว่าผิดแล้วก็ลบแอบๆ หน่อย (อายคนข้างๆ) พอเวลาคำนวณถูกก็เปิดมันเลย! ดูเส่ะๆพวกหล่อน ฉันคิดถูก ว่ะฮ่าๆๆๆ
7. สำหรับคนที่กินขนมแล้วชอบหลับ : แนะนำค่ะ ลูกอมรสเปรี้ยวๆ กินแล้วตื่นเต็มตาเลยค่ะ (แต่ถ้ากินบ่อยๆอาจทำให้คุณชินและหลับได้แม้กระทั้งในปากเปรี้ยวจี้ด) หรือไม่ก็ลูกอมมิ้นท์เย็นๆ แบบว่าเย็นสุดขั้ว กินแล้วเย็นไปถึงรูขุมขนได้ยิ่งดี นั่นจะทำให้คุณตื่น (แต่บางคนอาจจะหลับ) เรื่องลูกอมต้องค่อยๆลองไปสลับไปได้เรื่อยๆ ยิ่งดี วันนึงก็รสนึง อีกวันก็รสใหม่ จะทำให้เราไม่คุ้นและไม่ง่วง

8. หากเรียนไปแล้วเริ่มจะเข้าเฝ้าเทวดา : ให้นึกถึงเวลาที่ใกล้จะหมดสิคะ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกลัลล้าและตื่นเต็มตาได้ แต่ถ้าหากเพิ่งจะเริ่มเรียนแล้วง่วงละก็ ลองไปล้างหน้าล้างตาดูนะคะ

9. บรรยากาศในห้องเรียน : เป็นส่วนหนึ่งทำให้เคลิ้มได้ บางทีก็เย็นจนปอดจะแข็งตาย บางทีก็ร้อนตับจะออกมานอกร่าง ขอแนะนำว่าให้ลองใจกล้าเดินไปบอกพี่ที่คุมเลยค่ะ ว่าร้อนหรือหนาว จะได้ไม่รู้สึกเคลิ้มหรือไม่เครียดขณะเรียน

อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/21447.html

เคี้ยวหมากฝรั่ง ช่วยเพิ่ม คะแนน คณิตศาสตร์

ผลการศึกษาของคณะนักวิจัย วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ในสหรัฐฯ พบ การเคี้ยวหมากฝรั่งอาจช่วยให้เด็กวัยรุ่นมีผลการเรียนดีขึ้น ทั้งนี้นายเครก จอห์นสตัน แห่งวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์เบย์เลอร์ ในเมืองฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา วิจัยพบ นักเรียนที่เคี้ยวหมากฝรั่งในชั้นเรียนคณิตศาสตร์เป็นเวลา 14 สัปดาห์ มีคะแนนทดสอบมาตรฐานทางคณิตศาสตร์ และผลการเรียนปลายภาคดีกว่านักเรียนที่ไม่ได้เคี้ยวหมากฝรั่ง นายกิล เลอเวล ผู้อำนวยการบริหารสถาบันวิทยาศาสตร์ริกลีย์ ระบุว่า ริกลีย์ได้รับข้อมูลจากลูกค้าหมากฝรั่งหลายคนที่ระบุว่าการเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยให้มีสมาธิขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงเริ่มก่อตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์ขึ้นมาวิจัยว่าข้ออ้างเหล่านั้นเป็นจริงหรือไม่ โดยร่วมมือกับคณะนักวิจัยของวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์เบย์เลอร์ ที่ทำการศึกษาชั้นเรียนคณิตศาสตร์ 4 ห้อง หรือเด็กนักเรียน 108 คน อายุระหว่าง 13-16 ปีจากโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส ซึ่งรับนักเรียนฮิสแปนิก หรือผู้พูดภาษาสเปนจากครอบครัวรายได้ต่ำ การศึกษาทำโดยแบ่งนักเรียนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นนักเรียนที่ได้รับแจกหมากฝรั่งไร้น้ำตาลของริกลีย์ไปเคี้ยวระหว่างเรียน ทำการบ้าน และทำข้อสอบ เด็กกลุ่มนี้จะเคี้ยวหมากฝรั่งอย่างน้อย 1 แท่ง เป็นเวลาร้อยละ 86 ระหว่างเรียนคณิตศาสตร์ และร้อยละ 36 ของเวลาที่ทำการบ้าน ส่วนอีกกลุ่มไม่ได้รับแจกหมากฝรั่ง หลังจากนั้น 14 สัปดาห์พบว่า นักเรียนที่ได้รับแจกหมากฝรั่งทำคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ดีขึ้นร้อยละ 3 จากการทดสอบประเมินความรู้ และทักษะของรัฐเท็กซัส แต่ไม่พบว่านักเรียนสองกลุ่มทำคะแนนต่างกันในการทดสอบวู้ดค็อก จอห์นสัน ที่ 3 และพบว่าเด็กที่เคี้ยวหมากฝรั่งมีผลการเรียนปลายภาคดีกว่าเด็กที่ไม่ได้เคี้ยวหมากฝรั่ง ส่วนผลการศึกษาอีกชิ้น พบว่า นักศึกษาระดับวิทยาลัยที่เคี้ยวหมากฝรั่งขณะได้รับมอบหมายให้ทำโจทย์คอมพิวเตอร์ยากๆ จะมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งผลิตออกมาเมื่อร่างกายมีความเครียดน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้เคี้ยวหมากฝรั่ง นายเลอเวล คิดว่า การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยลดความเครียด จึงทำให้เด็กนักเรียนสามารถเรียนหรือทำข้อสอบได้ดี

ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์
อ้างอิงhttp://www.edunews.sannuk.com/board/board-in-page.php?p=show&Category=news&No=90

6 วิธีง่ายๆ เพิ่ม IQ

1. ช็อกโกแลตช่วยได้ ดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ แล้วคุณอาจรู้สึกกระปรี้กระเปร่าราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ลองเปลี่ยนจากกาแฟแก้วเดิมมาเป็นช็อกโกแลตหอมกรุ่น จะช่วยให้สมองมีพลังวังชาขบคิดปัญหาเครียสๆ แบบผู้ใหญ่ได้ดีทีเดียว นักวิจัยมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมพบว่า สารฟลาโวนอยด์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในช็อกโกแลตที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองใด้นานถึง 3 ชั่วโมง นพ.เอียน แมคโดนัลด์ หัวหน้าทีมวิจัย เปิดเผยว่าข้อดีของช็อกโกแลตคือ ช่วยฟื้นฟูการทำงานของสมองในช่วงที่การรับรู้ของคนเราจะแย่ลง เช่น ในขณะที่เหนื่อยล้าหรือนอนน้อย ยิ่งถ้าเป็นดาร์คช็อกโกแลตก็จะยิ่งมีฟลาโวนอยด์เข้มข้นขึ้น ลองซดช็อกโกแลตอุ่นๆ สักแก้วก่อนเข้าประชุม 10 โมงเช้ารับรองว่าสมองคุณจะแล่นปรู๊ดปร๊าดเลยเชียวล่ะ

2. ดนตรีกล่อมสมอง "ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดาลเป็นคนชอบกลนัก" ก็ขนาดคนใช้สมองเยอะๆ อย่างอาจารย์มหาวิทยาลัยหรือนักศึกษาปริญญาเอกยังนิยมฟังเพลงกันเลย ปัญญาชนเหล่านี้บอกว่าฟังเพลงคลาสสิกของบีโทเฟนแล้วทำให้สมองผ่อนคลายได้ ทว่าผลการศึกษาครั้งใหม่กลับพบว่า ไม่ว่าจะเป็นเพลงคลาสสิกอย่างโมสาร์ตหรือเฮฟวีเมทัลกระแทกหูอย่างวงสอเตอร์เฮดก็เพิ่มพลังให้สมองได้ทั้งนั้น สถาบัน วอทยาศาสตร์แห่งนิวยอร์กหรือ NYAS (New York Academy of Sciences) พบว่า การฟังดนตรีสุดโปรดไม่ว่าจะเป็นแนวไหนก็ตาม ล้วนส่งผลเชิงบวกต่อการรับรู้ ขณะที่วารสาร Nature รายงานว่า ถ้าให้ผู้เข้าทดสอบฟังเพลง 10 นาทีก่อนทำแบบทดสอบ พวกเขาจะทำคะแนนได้ดีขึ้น เห็นได้ชัดว่าดนครีมีส่วนอย่างมากต่อการเพิ่มระดับไอคิว ทีนี้คุณก็มีข้ออ้างในการควักกระเป๋าลงทุนกับเครื่องเสียงแจ่มๆ ที่ไพเราะเสนาะหูแล้วสิ

3. นั่งให้ปลอดโปร่ง คุณเคยเป็นแบบนี้บ้างไหม ยิ่งนั่งจมปลักอยู่บนเก้าอี้ทำงานนานๆ สมองยิ่งตีบตันคิดอะไรไม่ค่อยออกเคล็ดลับหนึ่งที่ช่วยให้สมองโปร่งโล่งสบายคือการนั่งเก้าอี้แสนสบาย ผลการศึกษาครั้งใหม่ระบุว่า เก้าอี้นั่งที่ไม่ค่อยสบายอาจทำให้ความคิดของคุณโดนปิดกั้นไปด้วย ผลการศึกษาที่มหาวิทยาลัยลันด์ในสวีเดนระบุว่า คนส่วนใหญ่ต้องเจอปัญหาเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอซึ่งเป็นผลจากการนั่งผิดท่า การบีบอัดกระดูกสันหลังด้วยการนั่งหลังค่อมขณะใช้แป่นคีย์บอร์ดจะทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองหดตัว ผลคือสมองคุณจะขาดออกซิเจน ดังนั้นการเลือกเก้าอี้ทำงานดีๆ สักตัวที่ช่วยให้คุณนั่งยืดหลังตรงได้ขณะทำงาน จึงสำคัญพอๆ กับงานบนหน้าจอของคุณเลยก็ว่าได้

4. พลังจากเนื้อ ไม่ว่าคุณจะเป็นมนุษย์ถ้ำหรือมนุษย์ทำงานจอมแกร่งกองทับต้องเดินด้วยท้องอยู่วันยังค่ำ คุณย่อมไม่มีเรี่ยวแรงพอนัใส่เกียร์ห้าหนีเสือป่าที่จ้องจะขย้ำคอหรือเคาะตัวเลขในรายงานการขายให้สวยหรูได้แน่ถ้าท้องคุณร้องโครกครากดังเซ็งแซ่แบบนี้ การหม่ำเบอร์เกอร์ดีๆ เติมกระเพาะและพลังงานให้สมองย่อมช่วยได้ ซีโมน พาร์กินสัน นักโภชนาการ แนะนำว่า "เนื้อลูกแกะอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อการฟื้นฟูสมองที่อ่อนล้าให้กลับมากระปรี้กระเปร่า และถ้าได้แซมไข่แดงลงไปในเบอร์เกอร์ คุณจะได้โคลีนไปเสริมสร้างการรับรู้ของสมอง ส่วนผักต่างๆ จะช่วยป้องกัยการเกิดภาวะเครียสจากการที่ร่างกายมีสารอนุมูลอิสระมากเกินไป"

5. กินหนึ่งได้ถึงสอง บางคนที่ไปยิมนอกจากจะเวิร์กเอาต์ให้ได้รูปร่างสมส่วน ยังอาจกินอาหารเสริมควบคู่กันไปเพื่อบำรุงกล้ามเนื้อ สำหรับใครที่เลือกอาหารเสริมเป็นครีเอทีนขอบอกว่าคุณตาแหลมมาก เพราะผลการศึดษาครั้งใหม่พบว่า ครีเอทีนไม่ใช่แค่ดีกับกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อสมองของคุณ เพราะทั้งช่วยเสริมสร้างสมาธิและความสามารถในการประมวลผลข้อมูลและตัวเลขต่างๆ พญ.แคโรไลน์ เร จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ บอกว่า "อาหารเสริมชนิดนี้เพิ่มพลังให้สมองสามารถรับมือกับงานด้านการคำนวณ ตลอดจนกระบวนการคิดต่างๆ ให้ดีขึ้น" อาหารเสริมในรูปแคปซูลจะมีปริมาณครีเอทีนต่อหน่วยน้ำหนักมากกว่าแหล่งอื่นๆ ดังนั้นพกแคปซูลครีเอทีนติดตัวไปกินตอนเวิร์กเอาต์ช่วงเที่ยงก็เข้าท่าดี เพราะนอกจากจะทำให้สมองปราดเปรื่องแล้วยังทำให้กล้ามคมโตสมใจอีกต่างหาก

6. หลับฟื้นความจำ นี่คงเป็นข่าวดีสำหรับคนชอบนอน เพราะการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอทำให้คุณฉลาดขึ้น ผลการศึกษาร่วมระหว่างคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย พบว่า การนอนหลับพักผ่อนช่วยกระตุ้นให้คุณดึงความทรงจะในเรื่องที่พึ่งเรียนรู้ไปไม่นานกลับคืนมาได้ แม้ว่าความทรงจำนั้นจะถูกแทนที่ด้วยข้อมูลใหม่ๆ ไปแล้วหลายชั่วโมงก็ตาม นพ.เจฟฟรีย์ เอลเลนโบเกน หัวหน้สทีมวิจัย บอกว่า "นี่แสดงให้เห็นว่า การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงช่วยปกป้องความจำแต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเก็บรวบรวมความทรงจำเข้าด้วยกันอีกด้วยครับ" พูดง่ายๆ คือ ความทรงจำในสมองไม่แตกแถวนั่นเอง นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า หมอนก็มีผลต่อการนอนเช่นกัน เพราะหมอนที่รองรับสรีระร่างกายในขณะที่หลับได้ดี จะช่วยลดปัญหาการหายใจซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการหลับที่ต่อเนื่องยาวนาน ใครที่อยากนอนหลับสนิทและตื่นขึ้นมารับวันใหม่ด้วยความสดชื่นสมองแจ่มใส เห็นทีต้องลองใช้หมอนเมโมรีโฟม (Memory Foam) ซึ่งทำจากวัสดุเมโมรีโฟมที่ผ่านกระบวนย่อยเป็นปุยๆ ชิ้นเล็กๆ เสมือนเส้นใยไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัติอ่อนนุ่มและแน่น

เรื่อง : David Morton แปลและเรียบเรียง : Nonny ขอขอบคุณ : Men's Health
อ้างอิงhttp://www.edunews.sannuk.com/board/board-in-page.php?p=show&Category=news&No=84

เคล็ดลับการเรียน “คณิตศาสตร์” ขั้นเทพ !


>> ความเครียดไม่เคยช่วยให้การเรียนดีขึ้น
เริ่มต้นกันที่ ดิสนีย์ หรือ นิปุณ ปิติมานะอารีย์ นักเรียน ม.3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒปทุมวัน เล่ามาว่า สาเหตุที่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ เพราะเป็นวิชาที่สนุก เป็นวิชาพื้นฐานของหลายๆ วิชารวมกัน และต่อยอดไปยังวิชาอื่นๆ ได้
เมื่อก่อนผมเคยทำข้อสอบคณิตศาสตร์แล้วเครียดมากที่ทำไม่ได้ จนบางครั้งถึงกับปวดหัว แต่ตอนนี้ผมรู้วิธีแก้ คืออย่าเครียด และทำให้ดีที่สุดพอ เพราะความเครียดไม่ช่วยอะไรเลย ถ้าเราไม่เครียดก็จะเรียนได้อย่างมีความสุข

>> ฝึกทำโจทย์ และนั่งสมาธิ
ด้าน ม็อด หรือ นายธนาตย์ คุรุธัช นักเรียน ม.5 จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แอบเล่ามาว่า ชอบวิชาคณิตศาสตร์มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะเป็นวิชาที่ไม่ต้องจำอะไรมาก ใช้การคิดวิเคราะห์เป็นหลัก และเป็นวิชาที่สนุก ได้แก้โจทย์ปัญหาต่างๆ ส่วนเทคนิคการเรียนคณิตก็ฝึกฝนทำโจทย์สม่ำเสมอ และฝึกนั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบนิ่ง
ขณะที่ ภู หรือ นายพงศ์ภัค ภูมิวัฒน์ นักเรียน ม.6 แห่งรั้วเตรียมอุดมศึกษาเช่นเดียวกัน ก็บอกเล่ามาว่า สนใจคณิตศาสตร์ตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กคุณแม่ซื้อหนังสือคณิตศาสตร์ หรือนิทานมาให้อ่าน และฝึกทำอยู่เสมอ ทำให้มีทักษะในการคิดเลข เวลาที่เริ่มท้อ หรือขาดสมาธิในการทำงานคุณพ่อคุณแม่จะให้กำลังใจ และเตือนสติอยู่เสมอ

>> ความกดดัน ทำให้เราไม่ประสบผลสำเร็จ
เคล็ดลับในการเรียนของ นายภู คือ เวลาเรียนอย่ามุ่งมั่นจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดแรงกดดันแล้วทำอะไรไม่เป็นระบบ และไม่ประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญก็คือ ต้องรู้จักแบ่งเวลาว่าเวลาไหนควรจะเรียน ควรทบทวนตำรา หรือเวลาไหนควรเล่น ตั้งใจทำสิ่งที่เราต้องการให้ดีที่สุด ถ้ายังไม่ประสบความสำเร็จก็พยายามหาสาเหตุ และแก้ไขตัวเองในการเรียนครั้งต่อไป


อ้างอิง http://kbusociety.eduzones.com/th/archives/118

เทคนิคการทำข้อสอบให้ได้คะแนนดีๆ

สวัสดีครับ บทความนี้สำหรับนักเรียนที่กำลังเตรียมตัวสอบ NT, ONET, ANET, GAT, PAT (สำนักทดสอบทางการศึกษา) หรือจะสอบปลายภาค วันนี้ครูมีเคล็ด(ไม่)ลับในการทำข้อสอบให้ได้คะแนนดีๆ มาฝากครับ ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกับตัวเองก่อนว่า เราเรียนไปเพื่ออะไร? เพื่อสอบให้ผ่านเกณฑ์เหรอ? และเคยถามตัวเองไหมครับ “เราสอบไปทำไม ???” ทุกคนมีความคิดเช่นเดียวกันว่า “อยากสอบให้ผ่าน” แต่มีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้เราสอบผ่านได้คะแนนดีๆ บางคนอาจจะคิดกลโกงหลายวิธี เช่น แอบจดใส่กระดาษเล็กๆ เข้าไปในห้องสอบ บางคนอาจจะจดใส่ชายเสื้อ ขอบกางเกงบ้าง บางคนอาจจะจดลงบนขาใต้กางเกงบ้าง จดลงบนฝ่ามือบ้าง แอบดูเพื่อนข้างๆ บ้าง ส่งสัญญาน(รู้กันเอง)ให้เพื่อนตอบบ้าง ล้วนแล้วแต่หลากหลายวิธีที่เราอาจจะเคยทำมา แต่สิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ผิดระเบียบการสอบ โดนกาหัวข้อสอบ โดนไล่ออกจากห้องสอบ โดนปรับตกในการสอบครั้งนั้น หลายๆ อย่างทำให้เราผิดหวังในการสอบ
เทคนิคการทำข้อสอบให้ได้คะแนนดีๆ นั้นไม่ยาก ไม่ต้องโกง แต่ต้องพึ่งทักษะของตนเองนิดหนึ่งนะครับ ทั้งการเตรียมตัวก่อนสอบและขณะทำการสอบ เราไปดูกันว่าจะทำยังไง
ก่อนสอบ
1. เตรียมตัว เตรียมตัวยังไงหรือครับ ก่อนอื่นต้องวางแผนการสอบก่อน ต้องรู้ว่าสอบอะไร สอบที่ไหน สอบวิชาอะไร สอบวันไหน สอบเวลาใด ใช้เวลาเท่าไหร่ในแต่ละวิชา รหัสประจำตัวสอบอะไร เลขที่นั่งสอบคืออะไร และที่สำคัญต้องวางแผนการเดินทางไปสอบให้ดี ถ้าเราไม่รู้ข้อมูลในส่วนนี้คงแย่แน่ ถ้าไม่ทราบเส้นทางและสถานที่สอบให้เข้า google maps เพื่อศึกษาเส้นทางและสถานที่สอบก่อน เข้าอินเทอร์เน็ตก็อย่าเลยไปเล่น hi5 หรือ QQ หรือ MSN ให้หยุดไว้ก่อนในช่วงนี้ เดี๋ยวจะสอบไม่ผ่าน…..
2. เตรียมอุปกรณ์ อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมในวันสอบมีอะไรบ้าง เช่น บัตรเข้าห้องสอบ บัตรประจำตัวประชาชน ดินสอ ปากกา ยางลบ กบเหลาดินสอ ฯลฯ
3. เตรียมความรู้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ ความรู้ แล้วจะทำยังไงจะได้มาซึ่ง ความรู้ นั่นคือการอ่านหนังสือ อ่านยังไง ครูมีเทคนิคนิดหน่อยครับในการอ่าน คือ เราต้องวางแผนการอ่านให้ดี ต้องรู้ว่าเราจะต้องสอบวิชาอะไร ควรอ่านวิชาอะไรก่อนหลัง ก่อนอื่นเราต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ แล้วเลือกวิชาที่จะสอบเป็นวิชาแรกในวันแรกมาอ่านก่อน อ่านรอบแรก ให้อ่านเฉพาะหัวข้อหลัก หรือเรื่องหลักก่อน อ่านรอบที่สอง ให้อ่านรายละเอียดในแต่ละเรื่องด้วยให้ครบถ้วน ทำความเข้าใจกับเนื้อหา เพราะสมองของคนเราจะรับรู้เรื่องหลักๆ ก่อนแล้วจึงจะโยงไปหาส่วนที่เป็นรายละเอียด ขณะที่อ่านให้จดบันทึกสิ่งที่สำคัญ หรือหัวเรื่องสำคัญไว้ในสมุดโน้ต เพื่อจะนำไปอ่านทบทวนในวันสอบ เวลาจดบันทึกให้จดบันทึกแบบผังความคิด(Mind Map) โดยใช้ปากกาสีที่ไม่เหมือนกันในการแยกสีสำหรับการจดบันทึก (แต่อย่าให้เกินสามสีนะครับ) สมองเราจะสามารถจดจำเป็นภาพ และสามารถแยกสีได้ดีกว่าตัวอักษร ถ้ารู้สึกง่วงนอนอย่าฝืนอ่านต่อนะครับ ให้นอนหลับแบบนอนหงายแบบให้ร่างกายได้พักผ่อน สัก 10 – 20 นาที (ไม่ควรนอนฟุ๊บอยู่กับโต๊ะนะครับ เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่สะดวก) ทำแบบนี้กับทุกวิชาที่จะสอบในแต่ละครั้งเลยนะครับ นี่แหละคือกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ
วันสอบ
1. ควรไปถึงสถานที่สอบก่อนเวลาประมาณ 30 นาที ถ้าจะให้ดีต้องไปก่อนประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อศึกษาสถานที่สอบ ห้องสอบอยู่ที่ไหน อาคารใด ห้องที่เท่าไหร่
2. นำสมุดโน้ตที่จดบันทึกความรู้ไว้ออกมาอ่านทบทวนก่อนเข้าห้องสอบ
3. ฟังประกาศรายละเอียดจากประชาสัมพันธ์ของศูนย์สอบให้เข้าใจ
4. ปิดโทรศัพท์มือถือก่อนเข้าห้องสอบทุกครั้ง
ในห้องสอบ
1. นั่งตามเลขที่นั่งสอบให้ถูกต้อง
2. ทำใจให้สบาย
3. ปฏิบัติตามคำสั่งและระเบียบการสอบอย่างเคร่งครัด
4. กรอกรายละเอียดในกระดาษคำตอบให้ถูกต้อง และชัดเจน
5. อ่านรายละเอียดหน้าข้อสอบในแต่ละรายวิชาให้เข้าใจ
6. อ่านคำถามให้เข้าใจ
7. อ่านคำตอบให้ครบทุกข้อ
8. ตัดคำตอบที่คิดว่าถูกต้องน้อยที่สุดออกไปก่อน ให้เหลือตัวเลือกเพียง 2 ข้อ เพื่อหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
9. เลือกคำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียวด้วยความมั่นใจ
10. ถ้ากระดาษคำตอบเป็นการฝนด้วยดินสอ 2B ควรฝนให้เต็มวง ไม่ต้องกดแรงมาก เพราะกระดาษคำตอบจะมีปัญหากับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ตรวจกระดาษคำตอบ
11. ข้อใดที่แก้ไขควรลบด้วยยางลบให้สะอาด
12. ถ้าข้อใดที่คิดว่าทำไม่ได้ให้ข้ามไปทำข้อต่อไปก่อน (อย่าลืมทำสัญลักษณ์ข้อที่ข้าม เพื่อกลับมาทำใหม่อีกรอบนะครับ)
13. กลับมาทำข้อที่ข้ามไปให้ครบทุกข้อ
14. รักษาเวลาในการทำข้อสอบให้เต็มที่
15. ถ้าข้อใดที่ทำไม่ได้จริงๆ ให้เลือก ข้อ ค. (เป็นความเชื่อส่วนบุคคลควรใช้วิจารณญาณในการเชื่อ)
16. ถ้าทำเสร็จแล้วให้ตรวจสอบความถูกต้องของกระดาษคำตอบอีกครั้งหนึ่งก่อนส่งกระดาษคำตอบ
17. ยิ้มและขอบคุณคณะกรรมด้วยความจริงใจ
18.ไม่ควรคุยกันเสียงดังหน้าห้องสอบ ควรรักษามารยาทที่ดี เคารพสถานที่
ออก(นอก)ห้องสอบ
1. ไม่ต้องเครียดกับเสียงบ่นของเพื่อนหลังจากสอบแต่ละวิชา
2. นำสมุดโน้ตวิชาต่อไปขึ้นมาอ่านทบทวนเพิ่มความมั่นใจเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนสอบ
3. ฟังประกาศรายละเอียดจากประชาสัมพันธ์ของศูนย์สอบให้เข้าใจ
เห็นไหมครับเคล็ดไม่ลับเลยสำหรับเทคนิคในการทำข้อสอบให้ได้คะแนนดีๆ ที่สำคัญที่สุด คือ “ความรู้” ครับ ถ้าเราไม่มีความรู้ ไม่เข้าใจในสิ่งที่ทำ เราก็ทำได้ไม่ดีใช่ไหมครับ ดังนั้น เราจะทำยังไงให้มีความรู้ละครับ ก็ต้องตั้งใจเรียนให้มากๆ นะครับ


อ้างอิง http://kbusociety.eduzones.com/th/archives/1238

เลิกบุหรี่ ภายใน 7 วัน ด้วย 13 เคล็ดลับ

" ไม่ใช่ไม่รู้ แต่เพราะบุหรี่เป็นภัยผ่อนส่งที่ใช้เวลานานกว่าจะได้รับดอกเบี้ยโรคภัยแบบทบ ต้นทบดอก ดังนั้นหลายคนจึงขอทำเป็นลืมๆ ในระหว่างที่พ่นควันผุยๆ บางคนอยากเลิก แต่ใจละลายง่ายก็เลยยังต้องซื้อต้องแชะๆ แบบมวนต่อมวนกันต่อไป ที่จริงการหยุดสูบไม่ได้ยาก และไม่ ต้องใช้เวลานาน แค่อาศัยความตั้งมั่น และการรู้จักธรรมชาติของตัวเอง และตัวยา เลิกใน 7 วัน ทำได้ง่ายกว่าที่คิด และนี่คือ 13 วิธีที่แค่อ่านแล้ว ฉุกคิด มลพิษก็ถูกถอดรหัสทันที"

1. การเลิกโดยเด็ดขาดทันทีทันใดให้ผลชะงัดกว่าการลดปริมาณ ทนทรมานได้สำเร็จใน 2-3 วัน ยังดีกว่าทรมานอย่างช้าๆ และช่วงเวลา 3 วันแรก เป็นช่วงที่ลำบากใจที่สุด หลังจากผ่านไปได้โอกาสเลิกบุหรี่จะเป็นไปได้สูงมาก

2. เซตวันสุดท้ายของการเลิกบุหรี่ พยายามหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่คุณมีภาระต้องรับผิดชอบ เช่น ช่วงสอบ ช่วงที่ต้องไปงานเลี้ยงหรืองานสังคม เพราะอาจมีแรงจูงใจทำให้ไม่สามารถเลิกได้ตามที่ตั้งใจไว้

3. สร้างพิธีกรรมเล็กๆ สำหรับวันส่งท้าย ด้วยการนำบุหรี่ที่เหลือ และซองบุหรี่มาเผาไฟต่อหน้าต่อตา พร้อมกับกระดาษที่จดข้อความของโทษการสูบบุหรี่สำหรับวันแรกของการเลิก เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา อาจหายใจให้เต็มปอดสัก สิบครั้งช้าๆ ลึกๆ และปล่อยใจ ให้จินตนาการรู้สึกดีกับมวลอากาศบริสุทธิ์

4. ออกกำลังเบาๆ อย่างน้อยสามสิบถึงสี่สิบนาที เช่น ว่ายน้ำ, เดินเล่น หรือปั่นจักรยานวันละสองรอบเพื่อกระตุ้นร่างกายให้แข็งแรงและซ่อมแซมส่วนที่ เสียหายจากภัยบุหรี่

5. หายใจลึกๆ ช้าๆ ติดต่อกัน ต่อเนื่องกันห้านาทีทุกวัน ด้วยการหลับตา สูดลมเข้าช้าๆ ด้วยจมูกจนเต็มปอด แล้วปล่อยออกช้าๆ ทางลมปากจนหมด ระหว่างทำ ให้สร้างความรู้สึก ดีไปด้วย จินตนาการถึงความรู้สึกที่แตกต่างของการไม่มีควันบุหรี่ในชีวิต คุณอาจยังไม่รู้สึกนัก แต่ควรสร้างอุปทาน เช่น รู้สึกว่าเหนื่อยน้อยลงหรือ ลมหายใจหอมสดชื่น หรืออะไรก็ตามที่เป็นสิ่งดีๆ ของการไม่สูบบุหรี่

6. อาบน้ำหรือแช่ในน้ำอุ่นวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 15-20 นาที หลังจากอาบน้ำอุ่นแล้ว ควรตามด้วยการราดน้ำเย็นเพื่อช่วยให้ร่างกายสดชื่น

7. ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว น้ำจะช่วยกำจัดนิโคตินออกจากร่างกาย ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า หลังอาหารทุกมื้อช่วงระหว่างมื้อและก่อนนอน

8. หลีกเลี่ยงสุรา ชา กาแฟ น้ำอัดลม เพราะจะทำให้เกิดความอยากสูบบุหรี่

9. หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารมันจัด อาหารหวานจัด อาหารเผ็ด เพราะอาหารมีผลโดยตรงต่อสุขภาพจิต

10. กินวิตามินบีรวม ในรูปแคปซูลหรือเม็ดหรือจะกินส่าข้าวสาลี (Wheat Germ) 1-2 ช้อนโต๊ะหลังอาหารโดยอาจผสมกับนมสด

11. อย่ากดดันตัวเองจนเครียด และอย่ารู้สึกผิดจนเกินไปเมื่อคุณเผลอ ให้อภัยตัวเอง และเริ่มกลับเข้าสู่โปรแกรมงดบุหรี่ทันที ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ งด แล้วจะหยุดได้เอง อย่างน้อยก็ลดปริมาณบุหรี่ที่เคยสูบได้มากกว่าเดิม

12. ถ้าต้องสูบจริงๆ ให้ลองเปลี่ยนมือคีบบุหรี่ เปลี่ยนชนิดบุหรี่เป็นยี่ห้อที่คุณไม่ชอบ และจำกัดสถานที่สูบบุหรี่ให้ตัวเอง เช่น นอกบ้าน บนระเบียงชั้นสาม

13. เมื่ออยากสูบบุหรี่ อย่าตอบสนองตัวเองทันที ทำเฉไฉสักห้านาที แล้วค่อยจุดสูบ เพื่อลดความกระวนกระวายที่ต้องทำทันทีเมื่อรู้สึกต้องการ

อ้างอิง
http://blog.eduzones.com/racchachoengsao/37679

จักษุแพทย์ เตือนใส่ "บิ๊กอาย" พร่ำเพรื่อ ไม่ถูกต้อง เสี่ยงต่อภาวะแพ้คอนแทคเลนส์ บางรายรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้

จักษุแพทย์ เตือนใส่ "บิ๊กอาย" พร่ำเพรื่อ ไม่ถูกต้อง เสี่ยงต่อภาวะแพ้คอนแทคเลนส์ บางรายรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้
หลังจากสำรวจย่านสยามสแควร์ที่วัยรุ่นนิยมออกมาท่องเที่ยววันหยุด หรือเรียนพิเศษ หากจอ้งไปที่ดวงตาของเด็กๆเหล่านี้ใน 10 คนจะพบ 1 คนที่มีดวงตาสดใสกลมโตกว่าปกติ จากคอนแทคเลนส์ขอบสีกว้าง ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "บิ๊กอาย" ทำให้ความสวยเด่นของดวงตาชนะความตระหนักถึงอันตรายในความคิดของเด็กๆจักษุแพทย์เตือนการใส่คอนแทคเลนส์พร่ำเพรื่อ ไม่ถูกต้อง เสี่ยงต่อภาวะแพ้คอนแทคเลนส์ บางรายรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้สำหรับข้อแนะนำขั้นต้น คือ ต้องให้แพทย์เลือกคอนแทคเลนส์ให้ในครั้งแรกเพื่อให้พอดีกับดวงตา กล่องใส่ต้องขัดล้างให้สะอาด และเปลี่ยนน้ำยาใหม่ทุกครั้งในการทำความสะอาดและแช่คอนแทคเลนส์ และที่สำคัญไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์เกินวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อดูแลดวงตาไม่ให้ขาดออกซิเจนจนเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
ขอบคุณข้อมูลจาก กรมสุขอนามัย

อ้างอิง http://blog.eduzones.com/racchachoengsao/37726

มหาวิทยาลัย ที่ร่วม แอดมิสชั่นส์

สถาบันอุดมศึกษาที่ร่วมในการคัดเลือกฯ
การคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2552 มีสถาบันต่างๆ เข้าร่วมในการคัดเลือก รวม 95 สถาบัน จำแนกได้ดังนี้
สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ในสังกัดและในกำกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
http://www.chula.ac.th
2. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
http://www.ku.ac.th
3. มหาวิทยาลัยขอนแก่น
http://www.kku.ac.th
4. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ http://www.cmu.ac.th
5. มหาวิทยาลัยทักษิณ
http://www.tsu.ac.th
6. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
http://www.kmutt.ac.th
7 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
http://www.kmutnb.ac.th
8. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
http://www.sut.ac.th
9. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
http://www.tu.ac.th
10 มหาวิทยาลัยนครพนม
http://www.npu.ac.th/
11 มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ www.pnu.ac.th
12. มหาวิทยาลัยนเรศวร http://www.nu.ac.th
13. มหาวิทยาลัยบูรพา
http://www.buu.ac.th
14. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
http://www.msu.ac.th
15. มหาวิทยาลัยมหิดล
http://www.mahidol.ac.th
16. มหาวิทยาลัยแม่โจ้
http://www.mju.ac.th
17. มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
http://www.mfu.ac.th
18. มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
http://www.wu.ac.th
19. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ http://www.swu.ac.th
20. มหาวิทยาลัยศิลปากร http://www.su.ac.th
21. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ http://www.psu.ac.th
22. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://www.ubu.ac.th
23. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังhttp://www.kmitl.ac.th
24. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
http://www.rmutk.ac.th
25. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก http://www.rmutto.ac.th
26. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี http://www.rmut.ac.th
27. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร http://www.rmutp.ac.th
28. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ http://www.rmutr.ac.th
29. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา http://www.rmutl.ac.th
30. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย http://www.rmutsv.ac.th
31. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ http://www.rmutsb.ac.th
32. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน http://www.rmuti.ac.th
33. มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี http://www.kru.ac.th
34. มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
http://www.chandra.ac.th
35. มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
http://www.tru.ac.th
36. มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
http://www.dru.ac.th
37. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
http://www.nsru.ac.th
38. มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา http://www.bsru.ac.th
39. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
http://www.pnru.ac.th
40. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
http://www.aru.ac.th
41. มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
http://www.psru.ac.th
42. มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
http://www.pbru.ac.th
43. มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต http://www.pkru.ac.th
44 มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
http://www.rmu.ac.th
45. มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
http://web1.rru.ac.th
46. มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
http://www.vru.ac.th
47. มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต http://www.dusit.ac.th
48. มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
http://www.ssru.ac.th
49. มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
http://www.srru.ac.th

สถาบันอุดมศึกษาของรัฐในสังกัดหน่วยงานอื่น
1. วิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์
http://www.kcn.ac.th/
2. วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ http://www.policehospital.go.th
3. วิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย
http://www.trcn.ac.th/
4. สถาบันการพลศึกษา http://www.ipe.ac.th/main/

สถาบันอุดมศึกษาเอกชน
1. มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
2. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
3. มหาวิทยาลัยคริสเตียน
4. มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา
5. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
6. มหาวิทยาลัยธนบุรี
7. มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
8. มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่
9. มหาวิทยาลัยปทุมธานี
10. มหาวิทยาลัยพายัพ
11. มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น
12. มหาวิทยาลัยภาคกลาง
13. มหาวิทยาลัยรังสิต
14. มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต
15. มหาวิทยาลัยราชธานี
16. มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
17. มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
18. มหาวิทยาลัยศรีปทุม
19. มหาวิทยาลัยสยาม
20. มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
21. มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
22. มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
23. มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
24 มหาวิทยาลัยเอเชียน
25. มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์
26. สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น
27. วิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
28. วิทยาลัยเชียงราย
29. วิทยาลัยเซนต์หลุยส์
30. วิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก
31. วิทยาลัยดุสิตธานี
32. วิทยาลัยตาปี
33. วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคใต้
34. วิทยาลัยนครราชสีมา
35. วิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
36. วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย
37 วิทยาลัยพิชญบัณฑิต
38. วิทยาลัยพุทธศาสนานานาชาติ
39. วิทยาลัยรัชต์ภาคย์
40. วิทยาลัยราชพฤกษ์
41. วิทยาลัยลุ่มน้ำปิง
42. วิทยาลัยสันตพล


อ้างอิง http://blog.eduzones.com/jipatar/35008

ม.นเรศวร ปลูกถ่ายไขกระดูก สำเร็จ

รพ.มหาวิทยาลัยนเรศวร ปลูกถ่ายไขกระดูกสำเร็จรายแรกในเขตภาคเหนือตอนล่าง คนไข้เป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอายุ 17 ปี เตรียมวิจัยกับอีก 5 ผู้ป่วย
ผศ.นพ.พีระพล วอง หัวหน้าศูนย์วิจัยโลหิตวิทยา โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า เทคโนโลยีการปลูกถ่ายอวัยวะเริ่มมาตั้งแต่ประมาณ 20 ปี สามารถรักษาโรคที่เกี่ยวกับไขกระดูกและมะเร็งที่ต้องการให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงซึ่งทำลายไขกระดูกไปด้วย จึงจำเป็นต้องทำการเก็บรักษาไขกระดูกไว้ทดแทนส่วนที่ถูกทำลาย
โดยหลักมีวิธีการรักษา 2 วิธี คือ
1.ปลูกถ่ายโดยใช้ไขกระดูกของตนเอง เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะทำการรักษาโดยให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงเพื่อกวาดล้างเซลล์มะเร็งให้หมดไป ขณะเดียวกันเคมีบำบัดขนาดสูงนี้จะไปทำลายไขกระดูกของคนไข้ไปหมดทำให้ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
เพราะฉะนั้นก่อนที่ให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงก็ต้องเก็บไขกระดูกคนไข้แช่แข็งไว้ก่อน หลังจากให้ยาไปแล้วจะนำเซลล์ของคนไข้มาคืนให้กับตัวคนไข้ ทำให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้
2. การปลูกถ่ายโดยใช้ไขกระดูกของผู้อื่น วิธีการเหมือนกันแต่ไขกระดูกของผู้อื่น อาจเป็นพี่น้องหรือผู้อื่นที่มีเนื้อเยื่อตรงกันไปทดแทน
ทั้งนี้ ศูนย์ปลูกถ่ายไขกระดูก โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร เริ่มตั้งแต่ปี 2551 ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,500,000 บาท เริ่มทำการรักษาแบบปลูกถ่ายโดยใช้กระดูกของตนเอง คนไข้รายแรกเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอายุ 17 ปี เริ่มการรักษาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 คนไข้มาด้วยก้อนที่คอ เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองต้องใช้เคมีบำบัดขนาดสูง จึงเก็บไขกระดูกของคนไข้ไว้
หลังจากให้เคมีบำบัดแล้วก็เอาเซลล์กลับมาคืน กระบวนการทั้งหมดใช้เวลา 4 เดือน คนไข้หายขาดจากมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ไม่ต้องกินยาต่อเนื่อง แข็งแรงดี โอกาสการเกิดซ้ำนั้นมีได้ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่โอกาสจะเกิดซ้ำก็น้อยลง
ด้านงบประมาณที่ใช้ในการรักษาประมาณ 300,000-400,000 บาท เพื่อเก็บเซลล์ ค่ายาเคมีบำบัด ค่ายากระตุ้นเม็ดเลือดขาว เลือดและเกร็ดเลือด นอกจากนี้ยังมีการลงนามความร่วมมือกับโรงพยาบาลพุทธชินราช สำหรับคัดกรองคนไข้ 5 คนแรก ทางมูลนิธิโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวรจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ทั้งนี้ ทีมงานได้เรียนรู้วิธีการให้เซลล์ต้นกำเนิด การดูแลคนไข้ช่วงที่เม็ดเลือดขาวต่ำ การเก็บเซลล์ที่ถูกต้อง และในฐานะอาจารย์แพทย์ ตรงนี้คือสิ่งที่สามารถนำไปใช้สอนนิสิตแพทย์ได้อย่างดีมาก ในอนาคตก็ตั้งใจว่าจะพัฒนาใช้ปลูกถ่ายไขกระดูกตนเองสักระยะ แล้วพัฒนาการสู่การปลูกถ่ายไขกระดูกของผู้อื่นต่อไป
"ปัจจัยความสำเร็จ คือคนไข้อดทน มีแม่คอยให้กำลังใจ ทีมงาน แพทย์ พยาบาล นักเทคนิคการแพทย์ที่ต้องตรวจนับเซลล์ต้นกำเนิด ต้องอาศัยทำงานเป็นทีม ผู้สนับสนุนคือมูลนิธิโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร ต้องขอบพระคุณผู้ที่บริจาคทุกท่าน”ผศ.นพ.พีระพล กล่าว
ที่มา :
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

กังหัน พลังน้ำ ต้นแบบ ตามแนว พระราชดำริ

ประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
ทีมนักวิจัย มก.สนองพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำพลังงานน้ำที่ระบายผ่านคลองลัดโพธิ์ จังหวัดสมุทรปราการ มาผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในประเทศได้สำเร็จ โดยสามารถออกแบบกังหันต้นแบบที่ผลิตขึ้นเองในประเทศ ลดการนำเข้าอุปกรณ์ราคาแพงจากต่างประเทศ และต่อยอดองค์ความรู้การผลิตกังหันประยุกต์ใช้กับประตูระบายน้ำของกรมชลประทานที่มีอยู่ทั่วประเทศ เป็นพลังงานทดแทนอีกทางหนึ่ง
รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.) เป็นประธานการแถลงข่าว เปิดตัวทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ประสบความสำเร็จในการออกแบบ กังหันพลังน้ำต้นแบบ เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำตามแนวพระราชดำริ ที่ประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โดยมี นายชลิต ดำรงศักด์ อธิบดีกรมชลประทาน ร่วมแถลงข่าว รศ.ดร.เจษฎา แก้วกัลยา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้อำนวยการโครงการ ศึกษาวิเคราะห์ศักยภาพของคลองลัดโพธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้านไฟฟ้าพลังน้ำ กล่าวว่า โครงการ ศึกษาศักยภาพของคลองลัดโพธิ์ ในการนำพลังงานน้ำที่ระบายผ่านคลองมาใช้ประโยชน์ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้นำมาสู่การออกแบบกังหันพลังน้ำต้นแบบติดตั้งที่ตอม่อท้ายประตูคลองลัดโพธิ์ฯ เป็นต้นกำลังไปหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า สามารถผลิตกำลังไฟฟ้าได้สูงสุด 5.74 kW.

ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สนองพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำพลังงานน้ำ มาผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในประเทศได้สำเร็จ
"ซึ่งการผลิตชุดกังหันพลังน้ำ นี้ใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศเฉพาะ Permanent Magnet Generator และ Inverter & Controller เท่านั้นส่วนประกอบที่เหลือทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นผู้ผลิตขึ้นเองโดยใช้วัสดุภายในประเทศ ซึ่งการ ผลิตชุดกังหันพลังน้ำสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับประตูระบายน้ำของกรมชลประทานที่มีอยู่ทั่วประเทศ อาทิ ประตูระบายน้ำบรมธาตุ โดยได้มีการลงนามความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กับ กรมชลประทาน ไปเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2552 ในโครงการนำร่องศึกษาวิเคราะห์ศักยภาพของประตูระบายน้ำบรมธาตุด้านไฟฟ้าพลังน้ำและการติดตั้งกังหันผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ประจำปี 2553" ทั้งนี้ ทีมงานได้ทำการออกแบบและผลิตชุดกังหัน พลังน้ำที่เหมาะสมกับกายภาพและการบริหารจัดการประตูระบายน้ำบรมธาตุ พร้อมติดตั้งชุดกังหันผลิตไฟฟ้า พลังน้ำนำร่องอย่างน้อย 4 ชุด เพื่อให้ได้กำลังการผลิตรวมกันไม่น้อยกว่า 80 kW. และเมื่อผลการพัฒนาโครงการนำร่องสำเร็จก็จะขยายผลไปยังโครงการชลประทานต่าง ๆ ต่อไป

รศ.ชัยวัฒน์ ขยันการนาวี หัวหน้าโครงการศึกษาฯ กล่าวว่า ทีมนักวิจัยได้ออกแบบชุดกังหันพลังน้ำต้นแบบที่สอดคล้องกับการบริหารจัดการประตูคลองลัดโพธิ์ มีประสิทธิภาพสูง สะดวกต่อการปฏิบัติงานและซ่อมบำรุง และมีราคาประหยัด คือ แบบหมุนตามแนวแกน (Axial Flow) และแบบหมุนขวางการไหล (Cross Flow) โดยใบพัดต้นแบบที่วิเคราะห์และผลิตขึ้นแบบหมุนตามแนวแกน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.00 เมตร และแบบหมุนขวางการไหลมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.00 เมตร ยาว 2.50 เมตร ที่ความเร็วน้ำออกแบบ 2.0 เมตร/วินาที (Design Velocity) จะได้กำลังไฟฟ้าสูงสุด 5 kW.

การออกแบบกังหันพลังน้ำต้นแบบติดตั้งที่ตอม่อท้ายประตูคลองลัดโพธิ์ฯ เป็นต้นกำลังไปหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า สามารถผลิตกำลังไฟฟ้าได้สูงสุด 5.74 kW.
"ชุดกังหันพลังน้ำต้นแบบทั้ง 2 จะประกอบและติดตั้งกับโครงเหล็กที่ปรับขึ้นลงได้ที่ท้ายประตูคลองลัดโพธิ์ ใช้กังหันพลังน้ำเป็นต้นกำลังที่เชื่อมต่อกับเกียร์ทดรอบไปหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบแม่เหล็กถาวรที่บรรจุอยู่ภายในกล่องที่จมน้ำได้ โดยโครงเหล็กจะอยู่ในช่องใส่บานซ่อมบำรุง (Bulk head) ที่ตอม่อท้ายประตูคลองลัดโพธิ์ เมื่อเดินชุดกังหันน้ำต้นแบบจะได้พลังงานไฟฟ้าเป็นแบบกระแสสลับ แล้วใช้ Rectifier เปลี่ยนเป็นกระแสตรงแล้วเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์แปลงและควบคุมกระแสไฟฟ้า (Inverter & Controller) ซึ่งจะปรับแรงดันและความถี่เพื่อเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง โดยได้ทดลองผลิตกระแสไฟฟ้าไปเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2551 ได้กำลังไฟฟ้าสูงสุด 5.74 kW. ซึ่งสูงกว่าที่ได้วิเคราะห์และคำนวณออกแบบไว้ ทำให้มั่นใจได้ว่าการวิจัยและออกแบบชุดกังหันต้นแบบในครั้งนี้ สามารถจะนำไปขยายผลในการผลิตไฟฟ้าที่ประตูระบายของกรมชลประทานที่มีอยู่ทั่วประเทศได้"

ทั้งนี้ องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้จากการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการบูรณาการความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ ได้แก่ ทรัพยากรน้ำ วิศวกรรมไฟฟ้า และการเดินเรือ จากนักวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และวิทยาเขตศรีราชา ซี่งมุ่งมั่นที่จะศึกษาวิจัยการนำพลังน้ำมาใช้ประโยชน์ เพื่อเป็นพลังงานทดแทนในอนาคต โดยใช้ศักยภาพของกังหันลมเป็นต้นแบบ

อ้างอิง google.com

จิตวิทยาพัฒนาตัวเอง แรงดึงดูดของผู้ชาย 10 ประการ ผู้ชายยุคใหม่ควรจะพึงมี

(1) ความมั่นใจในตัวเองจริงอยู่ถ้าหน้าตาหล่อเหลา ความมั่นใจในตัว เองย่อมเพิ่มมากเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่หล่อละ จะมั่นใจกับเขาไม่ได้เชียว หรือ ถ้าคุณเป็นผู้ชาย คุณต้องบอกกับตัวเองเสมอว่า คุณก็ดูดี มีความมั่น ใจในตัวเองสูง ทำได้ทุกอย่างที่คนอื่นทำกัน และต้องพิสูจน์ว่าคุณทำ ได้จริงๆไม่ใช่ดีแต่ปาก พอเอาเข้าจริงกับไม่ได้เรื่อง การสร้างความมั่นใจ ในตัวเองมีหลายอย่าง เช่นหมั่นหาความรู้เสริมพิเศษให้ตัวเอง หัดยิ้มกับ ตัวเองในกระจก ทำอะไรหลายๆอย่างให้สำเร็จได้จริงๆเป็นรูปเป็นร่าง

(2) แรงดึงดูดทางเพศภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Sex Appeal ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความหล่อหรอกนะ มีผู้ชายเยอะแยะที่หน้าตาหล่อ แต่ไม่มีแรงดึงดูดที่ว่านี้เลยมีถมไป แรงดึงดูดทางเพศไม่ได้หมายถึงคุณเป็นคนลามก แต่หมายความว่าคุณเป็นคนสง่างาม จนคนรู้สึกว่าหาก อยู่ใกล้คุณคงเร้าร้อนทนไม่ไหว อะไรทำนองเนี่ย หรือที่วัยรุ่นเรียกว่าพวก ไม่หล่อแต่เร้าใจ

(3) ควรมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือแม้ว่าคุณจะดูไม่ดีตราบที่คุณอยาก มีคู่ควงเป็นหญิงสาวสวยแล้วละก็ คุณต้องสร้างเอกลักษณ์ของคุณมาให้ โดดเด่นจงได้ อาจจะเป็นเรื่องของเสื้อผ้า อาจจะเป็นเรื่องของน้ำหอม หรืออาจเป็นเรื่องของการเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ที่ใครเขา ได้ยินเสียงหัวเราะจะนึกถึงคุณขึ้นมาทันที ทำอย่างไรที่จะยกระดับให้ตัว เองดูมีเอกลักษณะเฉพาะตัว แม้ว่าคุณจะใบหน้าตี๋ก็ตาม เอานาตี๋หล่อก็มีเยอะแยะไป

(4) ต้องมีความเป็นแมนความเป็นแมนนี่ดูเหมือนง่าย แต่พอทำจริงๆ มันยากเหลือเกิน ก่อนอื่นความเป็นแมนไม่ได้หมายความว่า คุณต้อง มีขนที่หน้าอกที่ดูเซ็กซี่ ไม่ได้หมายความว่าคุณมีกล้ามเป็นมัดๆ แต่ความ เป็นแมนหมายถึง คุณต้องมีนิสัยเป็นผู้ชาย ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิง ไม่ใช่คนคิดจุกจิก น่าเบื่อ น่ารำคาญ พูดง่ายคือ มีความเป็นผู้นำ อยู่มากในตัวคุณ ความเป็นแมนสร้างได้ไม่ยากนักหรอก เพียงแต่ต้องใช้เวลาและความ อดทนปรับปรุงตัวเองพูดจาเป็นผู้ใหญ่ พยายามสร้างขึ้นมาจากธรรมชาติ ที่อยู่ภายใน ถ้าเปรียบกับนักแสดง ก็เรียกว่าอินเข้าไปในบทละคร ทำนองนั้น

(5) พยายามดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายฟังดูเข้าที แต่พอทำ จริงๆก็ยากอีกนั่นแหละ ถ้าไม่พยายามหรือมองแต่ว่ามันมีความยาก เกินกำลังแต่แรกก็เลิกเหอะ ความจริงการทำชีวิตให้เรียบง่ายได้ คุณ จะดูเท่และเก๋มาก คุณสังเกตดูผู้คนรอบๆตัวคุณดูสิ ทุกวันนี้มีกี่ชีวิตที่ เรียบง่ายบ้าง พยายามกินให้ง่าย นอนก็ง่าย แล้วคุณจะดูดีขึ้นทันที ใครด่าหรือนินทาคุณ คุณก็เฉยๆ เสีย

(6) สลัดความเหงาให้เป็นมีผู้ชายขี้เหงามากมายบนโลก ความเหงา ทำให้จิตใจระส่ำไม่เป็นปกติร้อนรน ลุกลี้ลุกลนบอกไม่ถูก ผู้ชายต้องเข้มแข็งรับได้ทุกสภาพ ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะโน้มนำไปในทางทุกข์หรือสุข ก็ตาม บางคนทุกข์ก็เสียใจ ฟูมฟาย ตีโพยตีพาย พอสุขก็ดีใจ กระโดดโลดเต้นจนเกินเหตุ ทำให้ระงับอารมณ์ไม่อยู่ คนรู้ไส้รู้พุงหมดว่าคุณกำลัง เป็นอะไร มีบุคลิกที่แท้จริงเป็นแบบไหน จะต้องรู้จักการปล่อยวาง แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทีละเปลาะ

(7) เป็นคนรักงานไม่ใช่บ้างาน คือทำงานเป็นระเบียบและมีระบบ ในการวางแผนจัดการงานที่ดี สะสางงานไปทีละชิ้น มีแผนการณ์ล่วงหน้า รวมทั้งสนุกกับการทำงานอย่างแท้จริง ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ หมายความ ว่าคุณต้องแบ่งเวลาเป็น เวลางานเป็นเวลางาน ไม่เล่นหยอกล้อ นอกเวลางานก็อย่าคิดในเรื่องงานอีก

(8) ต้องสร้างชีวิตให้โรแมนติก ชีวิตที่โรแมนติกไม่ได้หมายความว่า มีแต่ดอกกุหลาบและคำหวานตลอดเวลา เพราะของพวกนี้ถ้ามีให้กัน มากๆ ดูเหมือนกลายเป็นเสแสร้งไปทันที ผู้หญิงมักจะเคลิบเคลิ้ม ปลาบปลื้มกับคำถามที่ผู้ชายแสดงความห่วงใยเสมอ อาการโรแมนติก ไม่ใช่การนั่งอยู่หน้าแสงเทียน ทำตาหวานซึ้งเข้าหากัน แค่นึกถึงเธออย่าง จริงใจ น้ำเสียง แววตา และการกระทำต่างหากที่จะเป็นปัจจัยบอกว่าคุณ เป็นคนโรแมนติกหรือไม่

(9) การสร้างอารมณ์ทางเพศในบางขณะจะช่วยให้ผู้หญิงมองคุณเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่ง ซึ่งไม่ได้หมายความว่า คุณต้องไปข่มขืนเธอ หรือขืนใจ หรือลวนลามเธอ อย่าไปทำอย่านั้นเด็ดขาด เพราะหล่อนจะขาด ความนับถือศรัทธาในตัวคุณทันที คุณต้องใช้สายตา วาจา และการแตะ กายเบาๆ โลมเล้าเธอแค่มองก็รู้สึกสะท้าน ไม่ต้องประกบริมฝีปาก แบบเมาท์ทูเมาท์หรอก

(10) คุณต้องสามารถสร้างอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาได้โดยธรรมชาติธรรมชาติผู้หญิงทุกคนจะมีความอ่อนไหวระทวยระทดง่ายกว่าผู้ชาย ด้วยเหตุ แห่งสรีระ หรือ จิตใจก็แล้วแต่ แต่ถ้าคุณอยากมีเสน่ห์มัดหัวใจเจ้าหล่อน ละก็ ต้องจับอารมณ์ของเธอให้อยู่ เพราะอารมณ์ของเธอเปรียบกราฟ ตรีโกณมิติ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสลับขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา คุณ พยายามอ่านใจเธอให้ออก ซึ่งเท่ากับว่าคุณได้กำชัยชนะไว้ในมือแล้ว .....หมายความว่าคุณต้องมีความไวในอารมณ์ร่วมเร็วกว่าเจ้าหล่อน ถ้าจะให้ดีต้องทำเป็นแนบเนียน และไม่ให้เธอรู้ตัวว่าคุณถือไพ่เหนือกว่า
เคล็ดลับดีๆที่ทำให้คุณดูดี อย่าลืมลองนำไปใช้ดูนะคะ
ขอขอบคุณเรื่องดีๆจาก
http://www.ommamm.com/

คอนเทคเลนส์แบบใหม่ เพื่อการตรวจวัดระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน

ด้วยความก้าวล้ำทางวิทยาศาสตร์และการคิดค้นงานวิจัยใหม่ๆ ทำให้คอนเทคเลนส์ในอนาคต จะไม่ใช่เป็นเพียงแค่ อุปกรณ์เพื่อการมองเห็นสำหรับผู้ไม่ชื่นชอบการสวมแว่นสายตาอีกต่อไป แต่จะยังทำหน้าที่ ในการตรวจวัดระดับน้ำตาลในผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานได้อีกด้วย
โดยอาศัยหลักการตรวจวัดปริมาณกลูโคสในน้ำตา ผ่านทางเลนส์ที่เคลือบสารที่มีฟลูออเรสเซนส์โมเลกุล ทำให้เมื่อมีแสงมากระทบเลนส์ชนิดพิเศษดังกล่าวนี้ จะทำให้สามารถทำปฏิกิริยากับกลูโคส จึงสามารถตรวจวัดกลูโคสที่มีในน้ำตาได้
จากการศึกษาวิจัยโดยทีมวิจัยจาก CIBA Vision in Atlanta USA ซึ่งได้ทำการทดสอบ ความสามารถในการตรวจวัดระดับน้ำตาลในน้ำตา ของคอนเทคเลนส์พิเศษนี้กับผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 9 คน เทียบกับคนปกติ 3 คน ได้ผลการทดสอบในระดับที่น่าพอใจ โดยพบว่าให้ค่าความถูกต้องในการตรวจวัด ในระดับที่ใกล้เคียง เกือบจะเท่ากับค่าที่วัดได้จากการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดโดยวิธี finger prick test ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานการทดสอบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แม้ผลการตรวจวัดจะใช้เวลานานกว่าก็ตาม และจากการศึกษาผลข้างเคียงของการใช้ พบว่าการใช้คอนเทคเลนส์ชนิดพิเศษนี้ ไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียง หรือมีอาการระคายเคืองต่อผู้ป่วยแต่อย่างใด และในอนาคตคณะผู้วิจัยกลุ่มนี้ ก็ได้วางแผนที่จะขยายฐานการศึกษา กลุ่มตัวอย่างไปยังกลุ่มคนไข้ในจำนวนที่มากขึ้น อย่างไรก็ตามผลที่ได้จากการตรวจวัดโดยเลนส์พิเศษนี้ ยังมีข้อจำกัดในเรื่องอายุการใช้งานของคอนเทคเลนส์ ที่ใช้ได้เพียง 4 ชั่วโมง โดยในอนาคต กำลังพัฒนาให้ใส่ได้นานขึ้นเป็น 1 วัน
คอนเทคเลนส์ชนิดพิเศษเป็นผลจากการพยายามคิดค้น เพื่อหาแนวทางใหม่ในการตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคส โดยไม่ต้องเจาะเลือดตามแบบเดิมที่ใช้ ซึ่งก็คาดหวังว่าเมื่อประสบผลสำเร็จในการทดสอบ และใช้งานในอนาคตเราก็จะได้ ผลิตภัณฑ์คอนเทคเลนส์แบบใหม่ ที่มีประโยชน์ ทั้งใส่แทนแว่นสายตา และยังใช้วัดระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานได้อีกทาง
อ้างอิง
http://www.material.chula.ac.th/RADIO45/July/radio7-4.htm

ทดสอบการส่งงาน

ทดสอบการส่งงานครั้งที่1 ที่นี่

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ ผิวสวย จากธรรมชาติ

เคล็ดลับผิวสวยจากธรรมชาติ ขึ้นชื่อว่าผิวพรรณล่ะก็ ทุกคนโดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่มักให้ความสนใจเอาใจใส่ดูแลเป็นอันดับต้นๆของ ร่างกาย ทั้งนี้เป็นที่รู้กันว่า ผิวสวยและมีน้ำมีนวลนั้น สะท้อนถึงสุขภาพทางร่างกายและจิตใจ และยังเป็นส่วนช่วยส่งเสริมความมั่นใจและบุคลิกภาพเมื่อเข้าสังคมแต่อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยมากมายที่ทำให้ผิวพรรณมีการเปลี่ยนแปลง อาทิสิ่งแวดล้อม มลภาวะ สารต่างๆที่ตกค้างมากับอาหาร เหล้า บุหรี่ การขาดการออกกำลังกาย ความเครียด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยก็คือ ความชราและการเสื่อมโทรมของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น ปัจจุบันได้มีนักวิชาการพร้อมงานวิจัยสนับสนุนหลายชิ้น ที่พยายามเชื่อมความสัมพันธ์ของความชราเข้ากับทฤษฎีของความเสื่อมโทรม ( Damage theories) ซึ่งมีตัวการหลักมาจาก อนุมูลอิสระ (Free Radicals) ในร่างกายที่สามารถสร้างขึ้นได้ตลอดเวลา และเจ้าสิ่งนี้เองที่ส่งผลเสียต่อเซลล์นับล้านในร่างกาย และเป็นศัตรูตัวร้ายต่อสุขภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ตีนกา ฝ้า กระ หรือปัญหาที่เกิดกับผิวของเรามากมาย ดังนั้นในเมื่อเราไม่สามารถเลี่ยงความชราที่เกิดจากอายุได้นั้น แต่เราก็มีวิธีที่จะช่วยชะลอความเสื่อมโทรมให้เกิดขึ้นช้าที่สุดได้ โดยการบำรุงอย่างถูกวิธี ดังนี้ 1. การบำรุงผิวพรรณจากภายนอก ในที่นี้มักจะมีในรูปเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณชนิดต่างๆที่ผลิตออกมา ซึ่งจะมีความหลากหลายทั้งรูปแบบและชนิดสารสำคัญที่เติมลงไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการบำรุงประเภทนี้มักจะออกฤทธิ์ได้เฉพาะบริเวณที่เป็นผิว หนังชั้นตื้นๆเท่านั้น ซึ่งในส่วนนี้จะต้องพิจารณาถึงเทคโนโลยีในการผลิตเครื่องสำอางชนิดนั้นๆออก มา ว่ามีระบบการนำส่งผ่านตัวยาสำคัญที่จะบอกถึงประสิทธิภาพของเครื่องสำอางชนิด นั้นได้มากน้อยเพียงใด 2. การบำรุงผิวพรรณจากภายใน โดยการสร้างพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้อง เพื่อจะได้รู้จักเลือกทานอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง รวมทั้งการทานผลิตภัณฑ์ที่ให้สารอาหารซึ่งสามารถซ่อมแซมและบำรุงโครงสร้าง ผิวได้ ในที่นี้ได้แก่ Collagen ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในโปรตีนคุณภาพสูง และให้กรดอะมิโนครบถ้วนทั้ง 20 ชนิดโดยจะมีสารสำคัญ 2 ชนิดที่เรียกว่า Proteoglycan และ Glycosaminoglycans ซึ่งเป็นสารที่จะกลายเป็นโครงสร้างหลักของผิวพรรณ เส้นผม เล็บ กระดูกและข้อต่อ หรือแม้แต่ผนังหลอดเลือดเองก็ตาม itamin C ซึ่งจะมีบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในส่วนอนุมูลอิสระที่อยู่ในเฟส น้ำ ซึ่งเป็นตัวการของความเสื่อมโทรมและความชรา นอกจากนี้วิตามิน C เองยังเป็นตัวก่อให้เกิดปฏิกิริยาการสร้างเส้นใย Collagen และ Elastin ระดับเซลล์ได้ Vitamin E ซึ่งจะมีบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในเฟสไขมัน และยังมีฤทธิ์ในการรักษาความแข็งแรงของเซลล์และเยื่อหุ้มเซลล์ ตลอดจนเพิ่มความชุ่มชื้นของชั้นผิวได้ Vitamin A & Beta-carotene ซึ่งมีความจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ใหม่ๆ รวมทั้งยังช่วยประสานและซ่อมแซมเส้นใยคอลลาเจนให้มีการเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ Zinc หรือธาตุสังกะสี ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับขบวนการซ่อมแซมและ สร้างเซลล์ผิวใหม่ รวมทั้งยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่า การขาดธาตุสังกะสีนั้น จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอักเสบของชั้นผิวหนัง การเกิดสิว ผมร่วง เล็บเปราะแตกง่าย Grape Seed Extract ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรงมากลำดับต้นๆ และมีความจำเป็นต่อความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเส้นใยคอลลาเจน สารอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในพืชผักผลไม้ และธัญญาหารหลายชนิด คุณผู้หญิงที่ต้องการมีผิวสวยงามเปล่งปลั่ง ควรรับประทานผัก ผลไม้ทุกวัน หรือ หากถนัดในการสรรหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาช่วยแล้วละก็ ขอให้พิจารณาเรื่องคุณภาพ และ มาตรฐานเป็นสำคัญนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก women
http://www.vcharkarn.com/varticle/39871

เอ็กเซอร์ไซส์ ... 'อีคิว'

เอ็กเซอร์ไซส์ ... 'อีคิว'

ต้องยอมรับว่าตอนนี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญกับภาวะความกดดันที่กำลังถาโถมมาทุกทาง ความกดดันที่ทำให้ตัวเลขจากการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า คนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตสูงถึง ร้อยละ 20 หรือประมาณ 6-12 ล้านคน และใน 6-12 ล้านคนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง โดยเฉพาะบรรดาเวิร์กกิ้งวูแมนที่ต้องแบกภาระทั้งในและนอกบ้าน ความเครียดที่สะสมไม่สามารถขจัดไปได้นั้นอาจนำไปสู่อาการทางจิตจนถึงขั้นฆ่า ตัวตายได้ ต้นเหตุที่เกิดขึ้นนี้ทางวิชาการเขาเรียกว่า EQ (emotional quotient) หรือที่เรียกกันว่า ความฉลาดทาง อารมณ์ที่เป็นพื้นฐานทางจิตใจ คนที่มีอีคิวดีก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ ความต้องการ รู้จักยับยั้งชั่งใจ เรียนรู้ที่จะแสดงออก สามารถสร้าง แรงจูงใจให้ตัวเอง และยังตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างเด็ดขาด สามารถปรับตัวเข้ากับผู้คน สถานที่และ เหตุการณ์ต่างๆ ได้ แต่ถ้าอีคิวไม่ดีก็จะไม่รู้จักกับการบริหารอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเป็นปัญหา ทางสุขภาพจิตได้ในที่สุด
น.พ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล
น.พ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์ทั่วไปโรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า คนไทยยังมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องของสุขภาพจิตน้อย จึงไม่สามารถบริหารจัดการความเครียดได้ อีกทั้งสังคมยังมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนา IQ (intelligence quotient) ความฉลาดทางสติปัญญาจนมองข้ามในเรื่องของอีคิวไป ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล ส่งผลให้คนมีปัญหาด้านสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้นทุกปีส่วนการที่จะบริหารอีคิวให้แข็งแรงนั้น คุณหมอให้ข้อแนะนำไว้ว่า 1. ต้องรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกตนเองมากกว่าการที่จะต้องคอย กล่าวโทษคนอื่นหรือสถานการณ์ บางครั้งการที่หมกมุ่นอยู่กับความเครียด มุ่งมั่นความสำเร็จมาก เกินไป ก็อาจทำให้ละเลยการใส่ใจอารมณ์ของตนเอง 2. ควรแยกแยะระหว่างความคิดและความรู้สึกของตนเองให้ได้ ไม่จำเป็นต้องตอบสนองความรู้สึกนั้นทุกครั้ง แต่การคิดอย่างมีเหตุผลจะสามารถช่วยควบคุมการ ตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึกได้ 3. รู้จักใช้ความรู้สึกเพื่อช่วยในการตัดสินใจบ้างในบางครั้ง แต่ควรจะควบคู่ไปกับการใช้สติด้วย 4. รู้จักที่จะนับถือความรู้สึกของผู้อื่น แม้จะเป็นคนที่เก่งน้อยกว่าแต่อาจจะมีประสบการณ์ที่ดีกว่าก็ได้ 5. ควรควบคุมจิตใจไม่ให้โกรธหรือแสดงออกทางอารมณ์มากเกินไป การฝึกบ่อยๆ จะช่วยให้ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ 6. หาเรื่องบวกในอารมณ์ลบ เช่น หาเหตุผลในเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจ เครียด ท้อแท้ เพื่อฝึกให้เป็นคนที่มีเหตุผลมากขึ้น จิตใจจะเข้มแข็งมากขึ้นสามารถต่อสู้ใน เหตุการณ์ครั้งต่อไปได้ 7. อย่าทำตัวเป็นคนที่ชอบแนะนำ สั่งสอน อบรม วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นตลอดเวลา ควรรับฟังความคิดเห็น ประสบการณ์จากคนอื่นจะช่วยให้เป็นคนที่รู้จักยืดหยุ่นมากขึ้น หมั่นฝึกบ่อยๆ ก็จะเสริมสร้างให้อีคิวเข้มแข็งตลอดไป


ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือ ระหว่างโรงพยาบาลมนารมย์ และวิชาการดอทคอมhttp://www.manarom.com/ http://www.vcharkarn.com/varticle/39871

15 ข้อเตือนใจเมื่อเป็นไมเกรน

15 ข้อเตือนใจเมื่อเป็นไมเกรน

ดูเหมือนว่า อาการปวดหัวจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับหลายคนอยู่บ่อย ๆ แต่หากคุณรู้สึกปวดหัวคุณอาจหาทางแก้ไขโดยหายามาทานเอง หรือหาวิธีป้องกันอื่น ๆ แต่สิ่งที่ไม่ควรทำก็คือ การสูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ปัจจุบันนี้ ไมเกรนได้กลายเป็นปัญหาที่สร้างความหนักใจให้กับผู้หญิงส่วนใหญ่ จากการสำรวจพบว่าผู้หญิงร้อยละ 18 ต้องเผชิญกับปัญหานี้ต่างกับผู้ชายที่พบว่าเป็นเพียงร้อยละ 6 เท่านั้นเอง อาการปวดหัวที่เกิดถ้านาน ๆ เป็นทีก็ไม่ควรวิตกกังวลให้มากนัก แต่เมื่อไรที่คุณเป็นถี่มากขึ้น หรือมีการปวดมากจนไม่สามารถทำงานได้ อย่านิ่งนอนใจ ลองอ่าน 15 ข้อแนะนำต่อไปนี้ แล้วลองพิจารณาดูว่า คุณเข้าข่ายเป็นไมเกรนหรือแค่ปวดหัวธรรมดากันแน่1. อย่าคิดว่าไมเกรนเป็นแค่อาการปวดหัวธรรมดา คนที่เป็นไมเกรนจะปวดหัวรุนแรง และมักปวดหัวข้างเดียว ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาโดยทันที คุณอาจจะต้องทรมานปวดหัวต่อไปอีก ถึงวันละ 4 ชั่วโมง นานถึง 3 วันติดกัน นอกจากนี้อาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ แพ้แสงในลักษณะเห็นแสงแบบดาวระยิบระยับ หรือมักได้กลิ่นแปลก ๆ ที่ไม่เหมือนกับคนอื่น หากยังละเลยปล่อยทิ้งไว้โดยไม่พบแพทย์ แน่นอนว่าอาการของคุณก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ2. อย่าเก่งด้วยการเป็นหมอรักษาตัวเอง หลายคนพยายามที่จะรักษาอาการปวดหัวด้วยตัวเองซึ่งถือว่าผิดมนันต์ จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยไมเกรน 58 คน จาก 100 คน ไม่เคยขอรับคำปรึกษาจากแพทย์เลย ถึงแม้ยาแก้ปวดจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวชั่วคราวได้ก็จริง แต่หากอาการเข้าข่ายเป็นไมเกรน ยาแก้ปวดพาราเซตามอล 2 เม็ดคงไม่พอ แต่การเพิ่มปริมาณยาให้มากขึ้น อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการติดยาในเวลาต่อมา เพราะบางคนอาจทานยาถึง 16 วันใน 1 เดือน หรือมากกว่า 180 วันใน 1 ปี ด้วยเหตุนี้จึงพบว่า ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งยังคงมีอาการปวดหัวอยู่ เนื่องจากทานยาแก้ปวดมากเกินไปนั่นเอง อย่างไรก็ดี หากปวดหัวอยู่เป็นประจำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยโรคให้ถูกต้องจะดีกว่า และให้ระมัดระวังยาที่ "เพื่อนบอกว่าใช้แล้วดี" ด้วยเพราะไม่รู้ว่ายาตัวนั้นจะเหมาะกับเราหรือไม่3. อย่าทานยาแก้ปวดต่างชนิดในวันเดียวกัน หากคุณปวดหัวแล้วไม่ได้ไปปรึกษาแพทย์ ก็อย่าทานยาแก้ปวดหัวที่ต่างชนิดกันบ่อย ๆ เพราะอาจจะทำให้มีอาการแย่ลงยิ่งกว่าเดิม ไม่เพียงแค่นั้นยังทำให้แพทย์สันนิษฐานไม่ได้ หากเกิดอาการแพ้ยาขึ้น นอกจากนี้อย่าทานยาตอนท้องว่าง เพราะอาจทำให้กระเพาะเกิดการระคายเคือง ทางที่ดีแล้วควรทานอาหารรองท้องก่อนเล็กน้อย แล้วค่อยทานยาเพื่อให้การดูดซึมยาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
4. ไม่ควรทานยาช้าเกินไป เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกปวดหัว ไม่ควรเพิกเฉย แต่ควรสังเกตอาการเริ่มแรกให้ดีเพื่อที่จะได้หายามาทานให้ทันท่วงที เพราะหากช้าเกินไป เพียงแค่เราสัมผัสผมก็อาจทำให้ปวดหัวได้ ถ้าถึงตอนนั้นยาตัวใดก็ไม่สามารถช่วยระงับอาการปวดได้ สัญญาณเตือนที่บอกว่าคุณอาจจะเป็นไมเกรนคือ อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย เฉื่อยชา โมโหง่าย อยากอาหารบางอย่างเช่น ของหวาน ๆ และออกอาการหาวแต่ไม่ได้ง่วงนอน5. หากปวดหัวมากกว่า 3 ครั้งต่อเดือน ยาแก้ปวดก็ช่วยไม่ได้แล้ว หากคุณมีอาการอย่างนี้บ่อย ๆ การบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ บางทีก็น่าลองดู เช่น อาจจะจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำหรือขี่จักรยาน ถ้าไม่ถนัดกีฬาที่กล่าวมา ก็อาจจะเล่นกีฬาชนิดไหนก็ได้ที่คุณชอบ เพียงแต่ขอให้เป็นการเคลื่อนไหวเบา ๆ เพียงแค่วันละ 15 นาที ก็เพียงพอแต่ถ้าแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ลองเปลี่ยนวิธีเป็นเดินในห้างสรรพสินค้าดูก็ได้นะ แต่ก็มีบางคนที่จะต้องทานยาทุกวัน ถึงแม้ว่าจะไม่ปวดหัวก็ตาม ตัวยาเหล่านี้แตกต่างจากยาแก้ปวดทั่วไปคือ ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว โดยทำให้ระบบทางเดินโลหิตและระบบประสาททำงานเป็นปกติ6. หาสาเหตุให้ได้ว่า ทำไมเราจึงปวดหัว สาเหตุที่ทำให้ปวดหัวมีมากเหลือเกิน แต่ละคนก็ปวดหัวด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นควรหาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมเราจึงปวดหัว เมื่อรู้แล้วจะได้หลีกเลี่ยงไม่ทำอย่างนั้น และพร้อมที่จะเผชิญกับมัน7. อย่าเปลี่ยนกิจวัตรบ่อย ๆ การนอนมากหรือน้อยกว่าปกติ การทานอาหารมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุที่อาจทำให้ปวดหัวได้ การที่ทำกิจวัตรต่าง ๆ ไม่ต่อเนื่องกันนี้เสี่ยงต่อการปวดหัวโดยเฉพาะกับคนที่เป็น "ไมเกรนช่วงสุดสัปดาห์" ซึ่งไม่ควรเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันช่วงวันเสาร์-อาทิตย์มากนัก และอย่าได้ประเมินค่าการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรต่าง ๆ เหล่านี้ต่ำเกินไป โดยเฉพาะยิ่งถ้าหากคุณเพิ่งฟื้นไข้ คุณจะต้องทานยาที่ถูกต้องและพกยาติดตัวไว้เสมอ เผื่อว่าเกิดปวดหัวขึ้นมากะทันหัน ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจทำให้ปวดหัวได้8. อย่าคิดว่าการปวดหัวเป็นผลเคียงจากการมีประจำเดือน การที่คุณปวดหัวทุกครั้งในช่วงที่มีประจำเดือนหรือช่วง 2 วันแรกก่อนมีประจำเดือนถึงจะแสดงว่าคุณเป็น "ไมเกรนในช่วงมีประจำเดือน" ซึ่ง เกิดจากการที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายลดต่ำลง ทำให้ปวดหัวนานกว่าเดิม มากกว่าเดิม และรักษายากยิ่งกว่าเดิม ในกรณีนี้ไม่ควรเพิกเฉยต่ออาการดังกล่าวแต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อดูอาการให้แน่ใจ
9. ยาที่ใช้รักษาโรคอื่นอาจทำให้ปวดหัวได้ ยาที่แพทย์สั่งให้ทานเพื่อรักษาโรคอื่นที่เป็นอยู่อาจมีผลข้างเคียงทำให้เรา ปวดหัวมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้ในกรณีนี้ลองให้แพทย์สั่งยาตัวอื่นที่รักษาโรค นั้น ๆ ได้และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ มาทานแทน10. อย่าพยายามเอาชนะโรคไมเกรนสุดสัปดาห์ บางคนมักปวดหัวในช่วงสุดสัปดาห์เนื่องจากการพักผ่อนมากเกินไป การพักผ่อนนี้ก็เป็นผลมาจากความเครียดสะสมที่เกิดขึ้นตลอดวันทำงานที่ผ่านมา ทางที่ดีเราควรหลีกเลี่ยงเรื่องเครียดต่าง ๆ แล้วหากิจกรรมอื่นทำ เช่น ปลูกต้นไม้ เล่นกับสุนัข11. อย่าหยุดทานยาคุมกำเนิดเพียงเพราะว่าปวดหัว สำหรับผู้หญิงบางคนถ้าทานยาคุม ไมเกรนจะกำเริบมากยิ่งขึ้น ในกรณีนี้ให้นำยาไปให้สูตินารีแพทย์ดู เผื่อว่าแพทย์จะสั่งยาคุมตัวอื่นที่เหมาะกับเราให้เราลองทานดูได้ อย่างไรก็ตามหญิงสาวที่เป็นไมเกรน และทานยาคุมด้วยนั้นจะต้องไม่สูบบุหรี่เป็นอันขาด เพราะจะเสี่ยงต่อการที่เลือดแข็งตัวผิดปกติ12. หากคุณอยู่ในช่วงวัยทองอย่าทำการบำบัดฮอร์โมน การบำบัดฮอร์โมน อาจยิ่งทำให้อาการปวดหัวแย่ลง หากจำเป็นจริง ๆ ให้แพทย์สั่งยาที่จะช่วยคงสมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ที่เหมาะกับเราให้ดีกว่า13. อย่าทานยาแก้ปวดหัวในขณะที่ตั้งครรภ์อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรกที่ตั้งครรภ์เพราะยาแก้ปวดบางตัวอาจทำให้แท้ลูก หรือทำให้ลูกที่อยู่ในครรภ์พิการได้ ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าทานยาได้หรือไม่ ควรไปปรึกษาแพทย์เสียก่อน14. อย่ารักษาแต่อาการปวดหัวอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ก็ต้องรักษาด้วย โดยปกติไมเกรนอาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ด้วย เช่น วิงเวียนและคลื่นไส้อาเจียน ในกรณีนี้ให้ทานยาแก้วิงเวียน ซึ่งจะทำให้กระเพาะอาหารซึมซับยาได้ดีขึ้นและทำให้หายปวดหัวได้ ส่วนอาการแทรกซ้อนอีกย่างก็คือ คลื่นไส้อาเจียน ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์สั่งยาให้
15. ไม่ได้มีแต่ยาที่ช่วยแก้ปวดหัว หากคุณได้รับความทุกข์ทรมานจากการปวดหัวอยู่บ่อย ๆ ยังมีทางเลือกอื่นที่จะรักษาอาการปวดหัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผู้เชี่ยวชาญพิเศษแนะนำนั่นก็คือ ไบโอฟีดแบ็ก (Biofeedback) คือ กรรมวิธีการรักษาผู้ที่ป่วยเป็นโรคไมเกรน หรือโรคเครียดที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง นอกจากนี้ยังช่วยรักษาผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง ระบบขับถ่ายไม่ดี ความดันเลือดสูง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ฯลฯ เทรนนิ่งออโตเจโน (Training Autogeno) คือการควบคุมตัวเองเพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย เหมาะกับคนที่ชอบวิตกกังวล เป็นไมเกรน มีความเครียดสูงหรือเป็นโรคหอบหืด และการฝังเข็ม วิธีการเหล่านี้ต่างก็ได้รับการยืนยันว่าช่วยลดอาการปวดหัวได้ Tips 1. หากคุณคิดว่าตัวเองเป็นไมเกรนแน่นอนแล้วละก็ คุณควรจะหาชาสมุนไพรเก๊กฮวยดื่มซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้ 2. หากใครกำลังใช้ยารักษาไมเกรนยี่ห้อ Avamigram, Cafergot, Degran, Poligot-CF และ Polygot ควร จะต้องรู้ว่าห้ามทานเกิน 6 เม็ดต่อวัน หรือ 10 เม็ดต่อสัปดาห์ หากต้องการให้ได้ผลควรนอนพักผ่อนในห้องที่มืด เงียบ และอุณหภูมิที่เหมาะสม แต่หากมีอาการข้างเคียง เช่น ขาไม่มีแรงเจ็บหน้าอก แขน คอ ไหล่ หรือปวดท้อง ปลายมือเท้าชา และรู้สึกเย็นซ่า รีบหยุดยาแล้วไปพบแพทย์ทันที


อ้างอิง http://www.vcharkarn.com/varticle/39895

ระวัง! โรคที่มากับการ 'นอนสระผม'

กระดูกกดเส้นประสาท
เชื่อได้เลยว่า หลายครอบครัว คงต้องมีสมาชิกคนใดคนหนึ่ง ชอบออกมาสระผมตามร้านทำผม หรือไม่ก็นอนให้ลูกหลานสระให้ที่บ้าน โดยเฉพาะคุณแม่บ้าน หรือลูกสาวแล้ว มักจะคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้ดีกว่าใคร แต่จะมีสักกี่คน ที่จะหารู้ไม่ว่า การนอนหงายแหงนคอบนเตียงสระผมบ่อยๆ อาจทำให้เกิดภาวะการกดทับเส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดคอร้าวลงแขน หรือชาแขนได้ กับอาการดังกล่าวข้างต้นนี้ "นพ.สุธี ศิริเวชฎารักษ์" แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู อธิบายให้ฟังว่า กระดูกสันหลังส่วนคอของคนปกติ จะมีช่องด้านข้างสองข้าง ซึ่งเป็นทางออกของเส้นประสาทไปยังสันหลัง โดยเส้นประสาทเหล่านี้ เมื่อรวมกันเป็นเส้นประสาทใหญ่ จะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณแขน และมือ รวมทั้งรับความรู้สึกในบริเวณดังกล่าว ซึ่งช่องที่ว่านั้น จะมีรูปร่างค่อนข้างกลม หรือเป็นรูปไข่ และช่องจะแคบลงเล็กน้อย เมื่อแหงนคอ สำหรับในบางคน เมื่อมีอายุมากขึ้น หรือมีภาวะความเสื่อมของกระดูกสันหลังส่วนคอ หรือหมอนรองกระดูกคอ จะทำให้กระดูก หรือหมอนรองกระดูกยื่นเข้าไปในช่องดังกล่าว มีผลทำให้ช่องแคบลงได้ง่าย เมื่อแหงนคอ และจะแคบยิ่งขึ้น ส่งผลให้กระดูก หรือหมอนรองกระดูกที่ยื่นออกมา มีโอกาสไปกดทับ และเบียดกับเส้นประสาทไขสันหลังได้ ทำให้คนๆ นั้น เกิดอาการปวดชาตามแนวเส้นประสาทนั่นเอง

ดังนั้น คุณผู้หญิง ไม่ว่าจะคุณแม่บ้าน หรือคุณลูกสาว ที่มักไปสระผมตามร้านเสริมสวย ซึ่งท่านอนสระที่ต้องแหงนคอบนเตียงสระผมเป็นเวลานาน อาจทำให้ช่องที่เส้นประสาทแคบลงได้ หรือในบางคนอาจจะมีการกดทับเส้นประสาทเกิดขึ้นได้ โดยอาการจะแปรผันไปตามความบ่อยของการไปนอนสระผม ทำให้บางครั้งเส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอได้รับบาดเจ็บอย่างถาวร จนเกิดอาการของการกดทับเส้นประสาทเกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ได้มีการศึกษา และเรียกอาการในกลุ่มอาการนี้ว่า 'Salon sink syndrome' " ผู้ที่มีความเสี่ยงคือ ผู้หญิงที่สระผมตามร้านบ่อยๆ ขณะเดียวกัน ถ้าไปสระผมบ่อยๆ ในรายที่มีอายุมาก ก็อาจมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อย เนื่องจากมีภาวะกระดูกคอเสื่อม หรือหมอนรองกระดูกคอเสื่อมอยู่แล้ว ทั้งนี้ รวมไปถึงในรายที่เคยมีประวัติปวดคอ หรือการบาดเจ็บที่คอก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน เพราะเคยมีหมอนรองกระดูกคอเคลื่อนหรือกระดูกงอกในบริเวณนั้นอยู่แล้ว"

ดังนั้น การป้องกันที่ดี คุณหมอให้คำแนะนำว่า หลีกเลี่ยงการไปนอนสระผม โดยท่าแหงนคอบ่อยๆ แต่ถ้ามีความจำเป็น อาจจะต้องยอมนอนให้ศีรษะต่ำลงมา ถึงแม้ว่าจะทำให้เปียกบ้างก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง ไม่ว่าจะเข้าร้านบ่อยครั้งๆ ทั้งๆ ที่มีอายุมากแล้ว ก็ควรหลีกเลี่ยงท่าทางการนอนสระผมในท่านอนหงายแหงนคอบนเตียงสระผมให้น้อยลง แต่หากว่ามีอาการปวดคอ โดยเฉพาะอาการปวดร้าวมาที่ไหล่ สะบัก หรือแขน นอกจากนี้ ถ้ามีอาการชา หรือยิบๆ ที่แขน และมือ หรือรู้สึกว่า กล้ามเนื้อแขนอ่อนแรงภายหลังการสระผม และเมื่อพักแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น ให้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลังเพื่อได้รับการวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้องต่อไป ซึ่งการรักษาจะมีตั้งแต่กินยา ทำกายภาพบำบัด หรือการผ่าตัด

อ้างอิง http://www.vcharkarn.com/varticle/39897