เคล็ดลับผิวสวยจากธรรมชาติ ขึ้นชื่อว่าผิวพรรณล่ะก็ ทุกคนโดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่มักให้ความสนใจเอาใจใส่ดูแลเป็นอันดับต้นๆของ ร่างกาย ทั้งนี้เป็นที่รู้กันว่า ผิวสวยและมีน้ำมีนวลนั้น สะท้อนถึงสุขภาพทางร่างกายและจิตใจ และยังเป็นส่วนช่วยส่งเสริมความมั่นใจและบุคลิกภาพเมื่อเข้าสังคมแต่อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยมากมายที่ทำให้ผิวพรรณมีการเปลี่ยนแปลง อาทิสิ่งแวดล้อม มลภาวะ สารต่างๆที่ตกค้างมากับอาหาร เหล้า บุหรี่ การขาดการออกกำลังกาย ความเครียด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยก็คือ ความชราและการเสื่อมโทรมของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น ปัจจุบันได้มีนักวิชาการพร้อมงานวิจัยสนับสนุนหลายชิ้น ที่พยายามเชื่อมความสัมพันธ์ของความชราเข้ากับทฤษฎีของความเสื่อมโทรม ( Damage theories) ซึ่งมีตัวการหลักมาจาก อนุมูลอิสระ (Free Radicals) ในร่างกายที่สามารถสร้างขึ้นได้ตลอดเวลา และเจ้าสิ่งนี้เองที่ส่งผลเสียต่อเซลล์นับล้านในร่างกาย และเป็นศัตรูตัวร้ายต่อสุขภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ตีนกา ฝ้า กระ หรือปัญหาที่เกิดกับผิวของเรามากมาย ดังนั้นในเมื่อเราไม่สามารถเลี่ยงความชราที่เกิดจากอายุได้นั้น แต่เราก็มีวิธีที่จะช่วยชะลอความเสื่อมโทรมให้เกิดขึ้นช้าที่สุดได้ โดยการบำรุงอย่างถูกวิธี ดังนี้ 1. การบำรุงผิวพรรณจากภายนอก ในที่นี้มักจะมีในรูปเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณชนิดต่างๆที่ผลิตออกมา ซึ่งจะมีความหลากหลายทั้งรูปแบบและชนิดสารสำคัญที่เติมลงไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการบำรุงประเภทนี้มักจะออกฤทธิ์ได้เฉพาะบริเวณที่เป็นผิว หนังชั้นตื้นๆเท่านั้น ซึ่งในส่วนนี้จะต้องพิจารณาถึงเทคโนโลยีในการผลิตเครื่องสำอางชนิดนั้นๆออก มา ว่ามีระบบการนำส่งผ่านตัวยาสำคัญที่จะบอกถึงประสิทธิภาพของเครื่องสำอางชนิด นั้นได้มากน้อยเพียงใด 2. การบำรุงผิวพรรณจากภายใน โดยการสร้างพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้อง เพื่อจะได้รู้จักเลือกทานอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง รวมทั้งการทานผลิตภัณฑ์ที่ให้สารอาหารซึ่งสามารถซ่อมแซมและบำรุงโครงสร้าง ผิวได้ ในที่นี้ได้แก่ Collagen ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในโปรตีนคุณภาพสูง และให้กรดอะมิโนครบถ้วนทั้ง 20 ชนิดโดยจะมีสารสำคัญ 2 ชนิดที่เรียกว่า Proteoglycan และ Glycosaminoglycans ซึ่งเป็นสารที่จะกลายเป็นโครงสร้างหลักของผิวพรรณ เส้นผม เล็บ กระดูกและข้อต่อ หรือแม้แต่ผนังหลอดเลือดเองก็ตาม itamin C ซึ่งจะมีบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในส่วนอนุมูลอิสระที่อยู่ในเฟส น้ำ ซึ่งเป็นตัวการของความเสื่อมโทรมและความชรา นอกจากนี้วิตามิน C เองยังเป็นตัวก่อให้เกิดปฏิกิริยาการสร้างเส้นใย Collagen และ Elastin ระดับเซลล์ได้ Vitamin E ซึ่งจะมีบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในเฟสไขมัน และยังมีฤทธิ์ในการรักษาความแข็งแรงของเซลล์และเยื่อหุ้มเซลล์ ตลอดจนเพิ่มความชุ่มชื้นของชั้นผิวได้ Vitamin A & Beta-carotene ซึ่งมีความจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ใหม่ๆ รวมทั้งยังช่วยประสานและซ่อมแซมเส้นใยคอลลาเจนให้มีการเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ Zinc หรือธาตุสังกะสี ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับขบวนการซ่อมแซมและ สร้างเซลล์ผิวใหม่ รวมทั้งยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่า การขาดธาตุสังกะสีนั้น จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอักเสบของชั้นผิวหนัง การเกิดสิว ผมร่วง เล็บเปราะแตกง่าย Grape Seed Extract ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรงมากลำดับต้นๆ และมีความจำเป็นต่อความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเส้นใยคอลลาเจน สารอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในพืชผักผลไม้ และธัญญาหารหลายชนิด คุณผู้หญิงที่ต้องการมีผิวสวยงามเปล่งปลั่ง ควรรับประทานผัก ผลไม้ทุกวัน หรือ หากถนัดในการสรรหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาช่วยแล้วละก็ ขอให้พิจารณาเรื่องคุณภาพ และ มาตรฐานเป็นสำคัญนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก women http://www.vcharkarn.com/varticle/39871
วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
เอ็กเซอร์ไซส์ ... 'อีคิว'
เอ็กเซอร์ไซส์ ... 'อีคิว'
ต้องยอมรับว่าตอนนี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญกับภาวะความกดดันที่กำลังถาโถมมาทุกทาง ความกดดันที่ทำให้ตัวเลขจากการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า คนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตสูงถึง ร้อยละ 20 หรือประมาณ 6-12 ล้านคน และใน 6-12 ล้านคนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง โดยเฉพาะบรรดาเวิร์กกิ้งวูแมนที่ต้องแบกภาระทั้งในและนอกบ้าน ความเครียดที่สะสมไม่สามารถขจัดไปได้นั้นอาจนำไปสู่อาการทางจิตจนถึงขั้นฆ่า ตัวตายได้ ต้นเหตุที่เกิดขึ้นนี้ทางวิชาการเขาเรียกว่า EQ (emotional quotient) หรือที่เรียกกันว่า ความฉลาดทาง อารมณ์ที่เป็นพื้นฐานทางจิตใจ คนที่มีอีคิวดีก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ ความต้องการ รู้จักยับยั้งชั่งใจ เรียนรู้ที่จะแสดงออก สามารถสร้าง แรงจูงใจให้ตัวเอง และยังตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างเด็ดขาด สามารถปรับตัวเข้ากับผู้คน สถานที่และ เหตุการณ์ต่างๆ ได้ แต่ถ้าอีคิวไม่ดีก็จะไม่รู้จักกับการบริหารอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเป็นปัญหา ทางสุขภาพจิตได้ในที่สุด
น.พ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล
น.พ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์ทั่วไปโรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า คนไทยยังมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องของสุขภาพจิตน้อย จึงไม่สามารถบริหารจัดการความเครียดได้ อีกทั้งสังคมยังมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนา IQ (intelligence quotient) ความฉลาดทางสติปัญญาจนมองข้ามในเรื่องของอีคิวไป ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล ส่งผลให้คนมีปัญหาด้านสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้นทุกปีส่วนการที่จะบริหารอีคิวให้แข็งแรงนั้น คุณหมอให้ข้อแนะนำไว้ว่า 1. ต้องรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกตนเองมากกว่าการที่จะต้องคอย กล่าวโทษคนอื่นหรือสถานการณ์ บางครั้งการที่หมกมุ่นอยู่กับความเครียด มุ่งมั่นความสำเร็จมาก เกินไป ก็อาจทำให้ละเลยการใส่ใจอารมณ์ของตนเอง 2. ควรแยกแยะระหว่างความคิดและความรู้สึกของตนเองให้ได้ ไม่จำเป็นต้องตอบสนองความรู้สึกนั้นทุกครั้ง แต่การคิดอย่างมีเหตุผลจะสามารถช่วยควบคุมการ ตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึกได้ 3. รู้จักใช้ความรู้สึกเพื่อช่วยในการตัดสินใจบ้างในบางครั้ง แต่ควรจะควบคู่ไปกับการใช้สติด้วย 4. รู้จักที่จะนับถือความรู้สึกของผู้อื่น แม้จะเป็นคนที่เก่งน้อยกว่าแต่อาจจะมีประสบการณ์ที่ดีกว่าก็ได้ 5. ควรควบคุมจิตใจไม่ให้โกรธหรือแสดงออกทางอารมณ์มากเกินไป การฝึกบ่อยๆ จะช่วยให้ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ 6. หาเรื่องบวกในอารมณ์ลบ เช่น หาเหตุผลในเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจ เครียด ท้อแท้ เพื่อฝึกให้เป็นคนที่มีเหตุผลมากขึ้น จิตใจจะเข้มแข็งมากขึ้นสามารถต่อสู้ใน เหตุการณ์ครั้งต่อไปได้ 7. อย่าทำตัวเป็นคนที่ชอบแนะนำ สั่งสอน อบรม วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นตลอดเวลา ควรรับฟังความคิดเห็น ประสบการณ์จากคนอื่นจะช่วยให้เป็นคนที่รู้จักยืดหยุ่นมากขึ้น หมั่นฝึกบ่อยๆ ก็จะเสริมสร้างให้อีคิวเข้มแข็งตลอดไป
ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือ ระหว่างโรงพยาบาลมนารมย์ และวิชาการดอทคอมhttp://www.manarom.com/ http://www.vcharkarn.com/varticle/39871
ต้องยอมรับว่าตอนนี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญกับภาวะความกดดันที่กำลังถาโถมมาทุกทาง ความกดดันที่ทำให้ตัวเลขจากการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า คนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตสูงถึง ร้อยละ 20 หรือประมาณ 6-12 ล้านคน และใน 6-12 ล้านคนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง โดยเฉพาะบรรดาเวิร์กกิ้งวูแมนที่ต้องแบกภาระทั้งในและนอกบ้าน ความเครียดที่สะสมไม่สามารถขจัดไปได้นั้นอาจนำไปสู่อาการทางจิตจนถึงขั้นฆ่า ตัวตายได้ ต้นเหตุที่เกิดขึ้นนี้ทางวิชาการเขาเรียกว่า EQ (emotional quotient) หรือที่เรียกกันว่า ความฉลาดทาง อารมณ์ที่เป็นพื้นฐานทางจิตใจ คนที่มีอีคิวดีก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ ความต้องการ รู้จักยับยั้งชั่งใจ เรียนรู้ที่จะแสดงออก สามารถสร้าง แรงจูงใจให้ตัวเอง และยังตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างเด็ดขาด สามารถปรับตัวเข้ากับผู้คน สถานที่และ เหตุการณ์ต่างๆ ได้ แต่ถ้าอีคิวไม่ดีก็จะไม่รู้จักกับการบริหารอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเป็นปัญหา ทางสุขภาพจิตได้ในที่สุด
น.พ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล
น.พ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์ทั่วไปโรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า คนไทยยังมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องของสุขภาพจิตน้อย จึงไม่สามารถบริหารจัดการความเครียดได้ อีกทั้งสังคมยังมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนา IQ (intelligence quotient) ความฉลาดทางสติปัญญาจนมองข้ามในเรื่องของอีคิวไป ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล ส่งผลให้คนมีปัญหาด้านสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้นทุกปีส่วนการที่จะบริหารอีคิวให้แข็งแรงนั้น คุณหมอให้ข้อแนะนำไว้ว่า 1. ต้องรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกตนเองมากกว่าการที่จะต้องคอย กล่าวโทษคนอื่นหรือสถานการณ์ บางครั้งการที่หมกมุ่นอยู่กับความเครียด มุ่งมั่นความสำเร็จมาก เกินไป ก็อาจทำให้ละเลยการใส่ใจอารมณ์ของตนเอง 2. ควรแยกแยะระหว่างความคิดและความรู้สึกของตนเองให้ได้ ไม่จำเป็นต้องตอบสนองความรู้สึกนั้นทุกครั้ง แต่การคิดอย่างมีเหตุผลจะสามารถช่วยควบคุมการ ตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึกได้ 3. รู้จักใช้ความรู้สึกเพื่อช่วยในการตัดสินใจบ้างในบางครั้ง แต่ควรจะควบคู่ไปกับการใช้สติด้วย 4. รู้จักที่จะนับถือความรู้สึกของผู้อื่น แม้จะเป็นคนที่เก่งน้อยกว่าแต่อาจจะมีประสบการณ์ที่ดีกว่าก็ได้ 5. ควรควบคุมจิตใจไม่ให้โกรธหรือแสดงออกทางอารมณ์มากเกินไป การฝึกบ่อยๆ จะช่วยให้ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ 6. หาเรื่องบวกในอารมณ์ลบ เช่น หาเหตุผลในเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจ เครียด ท้อแท้ เพื่อฝึกให้เป็นคนที่มีเหตุผลมากขึ้น จิตใจจะเข้มแข็งมากขึ้นสามารถต่อสู้ใน เหตุการณ์ครั้งต่อไปได้ 7. อย่าทำตัวเป็นคนที่ชอบแนะนำ สั่งสอน อบรม วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นตลอดเวลา ควรรับฟังความคิดเห็น ประสบการณ์จากคนอื่นจะช่วยให้เป็นคนที่รู้จักยืดหยุ่นมากขึ้น หมั่นฝึกบ่อยๆ ก็จะเสริมสร้างให้อีคิวเข้มแข็งตลอดไป
ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือ ระหว่างโรงพยาบาลมนารมย์ และวิชาการดอทคอมhttp://www.manarom.com/ http://www.vcharkarn.com/varticle/39871
15 ข้อเตือนใจเมื่อเป็นไมเกรน
15 ข้อเตือนใจเมื่อเป็นไมเกรน
ดูเหมือนว่า อาการปวดหัวจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับหลายคนอยู่บ่อย ๆ แต่หากคุณรู้สึกปวดหัวคุณอาจหาทางแก้ไขโดยหายามาทานเอง หรือหาวิธีป้องกันอื่น ๆ แต่สิ่งที่ไม่ควรทำก็คือ การสูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ปัจจุบันนี้ ไมเกรนได้กลายเป็นปัญหาที่สร้างความหนักใจให้กับผู้หญิงส่วนใหญ่ จากการสำรวจพบว่าผู้หญิงร้อยละ 18 ต้องเผชิญกับปัญหานี้ต่างกับผู้ชายที่พบว่าเป็นเพียงร้อยละ 6 เท่านั้นเอง อาการปวดหัวที่เกิดถ้านาน ๆ เป็นทีก็ไม่ควรวิตกกังวลให้มากนัก แต่เมื่อไรที่คุณเป็นถี่มากขึ้น หรือมีการปวดมากจนไม่สามารถทำงานได้ อย่านิ่งนอนใจ ลองอ่าน 15 ข้อแนะนำต่อไปนี้ แล้วลองพิจารณาดูว่า คุณเข้าข่ายเป็นไมเกรนหรือแค่ปวดหัวธรรมดากันแน่1. อย่าคิดว่าไมเกรนเป็นแค่อาการปวดหัวธรรมดา คนที่เป็นไมเกรนจะปวดหัวรุนแรง และมักปวดหัวข้างเดียว ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาโดยทันที คุณอาจจะต้องทรมานปวดหัวต่อไปอีก ถึงวันละ 4 ชั่วโมง นานถึง 3 วันติดกัน นอกจากนี้อาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ แพ้แสงในลักษณะเห็นแสงแบบดาวระยิบระยับ หรือมักได้กลิ่นแปลก ๆ ที่ไม่เหมือนกับคนอื่น หากยังละเลยปล่อยทิ้งไว้โดยไม่พบแพทย์ แน่นอนว่าอาการของคุณก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ2. อย่าเก่งด้วยการเป็นหมอรักษาตัวเอง หลายคนพยายามที่จะรักษาอาการปวดหัวด้วยตัวเองซึ่งถือว่าผิดมนันต์ จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยไมเกรน 58 คน จาก 100 คน ไม่เคยขอรับคำปรึกษาจากแพทย์เลย ถึงแม้ยาแก้ปวดจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวชั่วคราวได้ก็จริง แต่หากอาการเข้าข่ายเป็นไมเกรน ยาแก้ปวดพาราเซตามอล 2 เม็ดคงไม่พอ แต่การเพิ่มปริมาณยาให้มากขึ้น อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการติดยาในเวลาต่อมา เพราะบางคนอาจทานยาถึง 16 วันใน 1 เดือน หรือมากกว่า 180 วันใน 1 ปี ด้วยเหตุนี้จึงพบว่า ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งยังคงมีอาการปวดหัวอยู่ เนื่องจากทานยาแก้ปวดมากเกินไปนั่นเอง อย่างไรก็ดี หากปวดหัวอยู่เป็นประจำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยโรคให้ถูกต้องจะดีกว่า และให้ระมัดระวังยาที่ "เพื่อนบอกว่าใช้แล้วดี" ด้วยเพราะไม่รู้ว่ายาตัวนั้นจะเหมาะกับเราหรือไม่3. อย่าทานยาแก้ปวดต่างชนิดในวันเดียวกัน หากคุณปวดหัวแล้วไม่ได้ไปปรึกษาแพทย์ ก็อย่าทานยาแก้ปวดหัวที่ต่างชนิดกันบ่อย ๆ เพราะอาจจะทำให้มีอาการแย่ลงยิ่งกว่าเดิม ไม่เพียงแค่นั้นยังทำให้แพทย์สันนิษฐานไม่ได้ หากเกิดอาการแพ้ยาขึ้น นอกจากนี้อย่าทานยาตอนท้องว่าง เพราะอาจทำให้กระเพาะเกิดการระคายเคือง ทางที่ดีแล้วควรทานอาหารรองท้องก่อนเล็กน้อย แล้วค่อยทานยาเพื่อให้การดูดซึมยาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
4. ไม่ควรทานยาช้าเกินไป เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกปวดหัว ไม่ควรเพิกเฉย แต่ควรสังเกตอาการเริ่มแรกให้ดีเพื่อที่จะได้หายามาทานให้ทันท่วงที เพราะหากช้าเกินไป เพียงแค่เราสัมผัสผมก็อาจทำให้ปวดหัวได้ ถ้าถึงตอนนั้นยาตัวใดก็ไม่สามารถช่วยระงับอาการปวดได้ สัญญาณเตือนที่บอกว่าคุณอาจจะเป็นไมเกรนคือ อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย เฉื่อยชา โมโหง่าย อยากอาหารบางอย่างเช่น ของหวาน ๆ และออกอาการหาวแต่ไม่ได้ง่วงนอน5. หากปวดหัวมากกว่า 3 ครั้งต่อเดือน ยาแก้ปวดก็ช่วยไม่ได้แล้ว หากคุณมีอาการอย่างนี้บ่อย ๆ การบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ บางทีก็น่าลองดู เช่น อาจจะจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำหรือขี่จักรยาน ถ้าไม่ถนัดกีฬาที่กล่าวมา ก็อาจจะเล่นกีฬาชนิดไหนก็ได้ที่คุณชอบ เพียงแต่ขอให้เป็นการเคลื่อนไหวเบา ๆ เพียงแค่วันละ 15 นาที ก็เพียงพอแต่ถ้าแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ลองเปลี่ยนวิธีเป็นเดินในห้างสรรพสินค้าดูก็ได้นะ แต่ก็มีบางคนที่จะต้องทานยาทุกวัน ถึงแม้ว่าจะไม่ปวดหัวก็ตาม ตัวยาเหล่านี้แตกต่างจากยาแก้ปวดทั่วไปคือ ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว โดยทำให้ระบบทางเดินโลหิตและระบบประสาททำงานเป็นปกติ6. หาสาเหตุให้ได้ว่า ทำไมเราจึงปวดหัว สาเหตุที่ทำให้ปวดหัวมีมากเหลือเกิน แต่ละคนก็ปวดหัวด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นควรหาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมเราจึงปวดหัว เมื่อรู้แล้วจะได้หลีกเลี่ยงไม่ทำอย่างนั้น และพร้อมที่จะเผชิญกับมัน7. อย่าเปลี่ยนกิจวัตรบ่อย ๆ การนอนมากหรือน้อยกว่าปกติ การทานอาหารมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุที่อาจทำให้ปวดหัวได้ การที่ทำกิจวัตรต่าง ๆ ไม่ต่อเนื่องกันนี้เสี่ยงต่อการปวดหัวโดยเฉพาะกับคนที่เป็น "ไมเกรนช่วงสุดสัปดาห์" ซึ่งไม่ควรเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันช่วงวันเสาร์-อาทิตย์มากนัก และอย่าได้ประเมินค่าการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรต่าง ๆ เหล่านี้ต่ำเกินไป โดยเฉพาะยิ่งถ้าหากคุณเพิ่งฟื้นไข้ คุณจะต้องทานยาที่ถูกต้องและพกยาติดตัวไว้เสมอ เผื่อว่าเกิดปวดหัวขึ้นมากะทันหัน ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจทำให้ปวดหัวได้8. อย่าคิดว่าการปวดหัวเป็นผลเคียงจากการมีประจำเดือน การที่คุณปวดหัวทุกครั้งในช่วงที่มีประจำเดือนหรือช่วง 2 วันแรกก่อนมีประจำเดือนถึงจะแสดงว่าคุณเป็น "ไมเกรนในช่วงมีประจำเดือน" ซึ่ง เกิดจากการที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายลดต่ำลง ทำให้ปวดหัวนานกว่าเดิม มากกว่าเดิม และรักษายากยิ่งกว่าเดิม ในกรณีนี้ไม่ควรเพิกเฉยต่ออาการดังกล่าวแต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อดูอาการให้แน่ใจ
9. ยาที่ใช้รักษาโรคอื่นอาจทำให้ปวดหัวได้ ยาที่แพทย์สั่งให้ทานเพื่อรักษาโรคอื่นที่เป็นอยู่อาจมีผลข้างเคียงทำให้เรา ปวดหัวมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้ในกรณีนี้ลองให้แพทย์สั่งยาตัวอื่นที่รักษาโรค นั้น ๆ ได้และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ มาทานแทน10. อย่าพยายามเอาชนะโรคไมเกรนสุดสัปดาห์ บางคนมักปวดหัวในช่วงสุดสัปดาห์เนื่องจากการพักผ่อนมากเกินไป การพักผ่อนนี้ก็เป็นผลมาจากความเครียดสะสมที่เกิดขึ้นตลอดวันทำงานที่ผ่านมา ทางที่ดีเราควรหลีกเลี่ยงเรื่องเครียดต่าง ๆ แล้วหากิจกรรมอื่นทำ เช่น ปลูกต้นไม้ เล่นกับสุนัข11. อย่าหยุดทานยาคุมกำเนิดเพียงเพราะว่าปวดหัว สำหรับผู้หญิงบางคนถ้าทานยาคุม ไมเกรนจะกำเริบมากยิ่งขึ้น ในกรณีนี้ให้นำยาไปให้สูตินารีแพทย์ดู เผื่อว่าแพทย์จะสั่งยาคุมตัวอื่นที่เหมาะกับเราให้เราลองทานดูได้ อย่างไรก็ตามหญิงสาวที่เป็นไมเกรน และทานยาคุมด้วยนั้นจะต้องไม่สูบบุหรี่เป็นอันขาด เพราะจะเสี่ยงต่อการที่เลือดแข็งตัวผิดปกติ12. หากคุณอยู่ในช่วงวัยทองอย่าทำการบำบัดฮอร์โมน การบำบัดฮอร์โมน อาจยิ่งทำให้อาการปวดหัวแย่ลง หากจำเป็นจริง ๆ ให้แพทย์สั่งยาที่จะช่วยคงสมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ที่เหมาะกับเราให้ดีกว่า13. อย่าทานยาแก้ปวดหัวในขณะที่ตั้งครรภ์อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรกที่ตั้งครรภ์เพราะยาแก้ปวดบางตัวอาจทำให้แท้ลูก หรือทำให้ลูกที่อยู่ในครรภ์พิการได้ ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าทานยาได้หรือไม่ ควรไปปรึกษาแพทย์เสียก่อน14. อย่ารักษาแต่อาการปวดหัวอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ก็ต้องรักษาด้วย โดยปกติไมเกรนอาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ด้วย เช่น วิงเวียนและคลื่นไส้อาเจียน ในกรณีนี้ให้ทานยาแก้วิงเวียน ซึ่งจะทำให้กระเพาะอาหารซึมซับยาได้ดีขึ้นและทำให้หายปวดหัวได้ ส่วนอาการแทรกซ้อนอีกย่างก็คือ คลื่นไส้อาเจียน ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์สั่งยาให้
15. ไม่ได้มีแต่ยาที่ช่วยแก้ปวดหัว หากคุณได้รับความทุกข์ทรมานจากการปวดหัวอยู่บ่อย ๆ ยังมีทางเลือกอื่นที่จะรักษาอาการปวดหัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผู้เชี่ยวชาญพิเศษแนะนำนั่นก็คือ ไบโอฟีดแบ็ก (Biofeedback) คือ กรรมวิธีการรักษาผู้ที่ป่วยเป็นโรคไมเกรน หรือโรคเครียดที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง นอกจากนี้ยังช่วยรักษาผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง ระบบขับถ่ายไม่ดี ความดันเลือดสูง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ฯลฯ เทรนนิ่งออโตเจโน (Training Autogeno) คือการควบคุมตัวเองเพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย เหมาะกับคนที่ชอบวิตกกังวล เป็นไมเกรน มีความเครียดสูงหรือเป็นโรคหอบหืด และการฝังเข็ม วิธีการเหล่านี้ต่างก็ได้รับการยืนยันว่าช่วยลดอาการปวดหัวได้ Tips 1. หากคุณคิดว่าตัวเองเป็นไมเกรนแน่นอนแล้วละก็ คุณควรจะหาชาสมุนไพรเก๊กฮวยดื่มซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้ 2. หากใครกำลังใช้ยารักษาไมเกรนยี่ห้อ Avamigram, Cafergot, Degran, Poligot-CF และ Polygot ควร จะต้องรู้ว่าห้ามทานเกิน 6 เม็ดต่อวัน หรือ 10 เม็ดต่อสัปดาห์ หากต้องการให้ได้ผลควรนอนพักผ่อนในห้องที่มืด เงียบ และอุณหภูมิที่เหมาะสม แต่หากมีอาการข้างเคียง เช่น ขาไม่มีแรงเจ็บหน้าอก แขน คอ ไหล่ หรือปวดท้อง ปลายมือเท้าชา และรู้สึกเย็นซ่า รีบหยุดยาแล้วไปพบแพทย์ทันที
อ้างอิง http://www.vcharkarn.com/varticle/39895
ดูเหมือนว่า อาการปวดหัวจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับหลายคนอยู่บ่อย ๆ แต่หากคุณรู้สึกปวดหัวคุณอาจหาทางแก้ไขโดยหายามาทานเอง หรือหาวิธีป้องกันอื่น ๆ แต่สิ่งที่ไม่ควรทำก็คือ การสูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ปัจจุบันนี้ ไมเกรนได้กลายเป็นปัญหาที่สร้างความหนักใจให้กับผู้หญิงส่วนใหญ่ จากการสำรวจพบว่าผู้หญิงร้อยละ 18 ต้องเผชิญกับปัญหานี้ต่างกับผู้ชายที่พบว่าเป็นเพียงร้อยละ 6 เท่านั้นเอง อาการปวดหัวที่เกิดถ้านาน ๆ เป็นทีก็ไม่ควรวิตกกังวลให้มากนัก แต่เมื่อไรที่คุณเป็นถี่มากขึ้น หรือมีการปวดมากจนไม่สามารถทำงานได้ อย่านิ่งนอนใจ ลองอ่าน 15 ข้อแนะนำต่อไปนี้ แล้วลองพิจารณาดูว่า คุณเข้าข่ายเป็นไมเกรนหรือแค่ปวดหัวธรรมดากันแน่1. อย่าคิดว่าไมเกรนเป็นแค่อาการปวดหัวธรรมดา คนที่เป็นไมเกรนจะปวดหัวรุนแรง และมักปวดหัวข้างเดียว ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาโดยทันที คุณอาจจะต้องทรมานปวดหัวต่อไปอีก ถึงวันละ 4 ชั่วโมง นานถึง 3 วันติดกัน นอกจากนี้อาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ แพ้แสงในลักษณะเห็นแสงแบบดาวระยิบระยับ หรือมักได้กลิ่นแปลก ๆ ที่ไม่เหมือนกับคนอื่น หากยังละเลยปล่อยทิ้งไว้โดยไม่พบแพทย์ แน่นอนว่าอาการของคุณก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ2. อย่าเก่งด้วยการเป็นหมอรักษาตัวเอง หลายคนพยายามที่จะรักษาอาการปวดหัวด้วยตัวเองซึ่งถือว่าผิดมนันต์ จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยไมเกรน 58 คน จาก 100 คน ไม่เคยขอรับคำปรึกษาจากแพทย์เลย ถึงแม้ยาแก้ปวดจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวชั่วคราวได้ก็จริง แต่หากอาการเข้าข่ายเป็นไมเกรน ยาแก้ปวดพาราเซตามอล 2 เม็ดคงไม่พอ แต่การเพิ่มปริมาณยาให้มากขึ้น อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการติดยาในเวลาต่อมา เพราะบางคนอาจทานยาถึง 16 วันใน 1 เดือน หรือมากกว่า 180 วันใน 1 ปี ด้วยเหตุนี้จึงพบว่า ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งยังคงมีอาการปวดหัวอยู่ เนื่องจากทานยาแก้ปวดมากเกินไปนั่นเอง อย่างไรก็ดี หากปวดหัวอยู่เป็นประจำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยโรคให้ถูกต้องจะดีกว่า และให้ระมัดระวังยาที่ "เพื่อนบอกว่าใช้แล้วดี" ด้วยเพราะไม่รู้ว่ายาตัวนั้นจะเหมาะกับเราหรือไม่3. อย่าทานยาแก้ปวดต่างชนิดในวันเดียวกัน หากคุณปวดหัวแล้วไม่ได้ไปปรึกษาแพทย์ ก็อย่าทานยาแก้ปวดหัวที่ต่างชนิดกันบ่อย ๆ เพราะอาจจะทำให้มีอาการแย่ลงยิ่งกว่าเดิม ไม่เพียงแค่นั้นยังทำให้แพทย์สันนิษฐานไม่ได้ หากเกิดอาการแพ้ยาขึ้น นอกจากนี้อย่าทานยาตอนท้องว่าง เพราะอาจทำให้กระเพาะเกิดการระคายเคือง ทางที่ดีแล้วควรทานอาหารรองท้องก่อนเล็กน้อย แล้วค่อยทานยาเพื่อให้การดูดซึมยาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
4. ไม่ควรทานยาช้าเกินไป เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกปวดหัว ไม่ควรเพิกเฉย แต่ควรสังเกตอาการเริ่มแรกให้ดีเพื่อที่จะได้หายามาทานให้ทันท่วงที เพราะหากช้าเกินไป เพียงแค่เราสัมผัสผมก็อาจทำให้ปวดหัวได้ ถ้าถึงตอนนั้นยาตัวใดก็ไม่สามารถช่วยระงับอาการปวดได้ สัญญาณเตือนที่บอกว่าคุณอาจจะเป็นไมเกรนคือ อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย เฉื่อยชา โมโหง่าย อยากอาหารบางอย่างเช่น ของหวาน ๆ และออกอาการหาวแต่ไม่ได้ง่วงนอน5. หากปวดหัวมากกว่า 3 ครั้งต่อเดือน ยาแก้ปวดก็ช่วยไม่ได้แล้ว หากคุณมีอาการอย่างนี้บ่อย ๆ การบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ บางทีก็น่าลองดู เช่น อาจจะจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำหรือขี่จักรยาน ถ้าไม่ถนัดกีฬาที่กล่าวมา ก็อาจจะเล่นกีฬาชนิดไหนก็ได้ที่คุณชอบ เพียงแต่ขอให้เป็นการเคลื่อนไหวเบา ๆ เพียงแค่วันละ 15 นาที ก็เพียงพอแต่ถ้าแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ลองเปลี่ยนวิธีเป็นเดินในห้างสรรพสินค้าดูก็ได้นะ แต่ก็มีบางคนที่จะต้องทานยาทุกวัน ถึงแม้ว่าจะไม่ปวดหัวก็ตาม ตัวยาเหล่านี้แตกต่างจากยาแก้ปวดทั่วไปคือ ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว โดยทำให้ระบบทางเดินโลหิตและระบบประสาททำงานเป็นปกติ6. หาสาเหตุให้ได้ว่า ทำไมเราจึงปวดหัว สาเหตุที่ทำให้ปวดหัวมีมากเหลือเกิน แต่ละคนก็ปวดหัวด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นควรหาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมเราจึงปวดหัว เมื่อรู้แล้วจะได้หลีกเลี่ยงไม่ทำอย่างนั้น และพร้อมที่จะเผชิญกับมัน7. อย่าเปลี่ยนกิจวัตรบ่อย ๆ การนอนมากหรือน้อยกว่าปกติ การทานอาหารมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุที่อาจทำให้ปวดหัวได้ การที่ทำกิจวัตรต่าง ๆ ไม่ต่อเนื่องกันนี้เสี่ยงต่อการปวดหัวโดยเฉพาะกับคนที่เป็น "ไมเกรนช่วงสุดสัปดาห์" ซึ่งไม่ควรเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันช่วงวันเสาร์-อาทิตย์มากนัก และอย่าได้ประเมินค่าการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรต่าง ๆ เหล่านี้ต่ำเกินไป โดยเฉพาะยิ่งถ้าหากคุณเพิ่งฟื้นไข้ คุณจะต้องทานยาที่ถูกต้องและพกยาติดตัวไว้เสมอ เผื่อว่าเกิดปวดหัวขึ้นมากะทันหัน ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจทำให้ปวดหัวได้8. อย่าคิดว่าการปวดหัวเป็นผลเคียงจากการมีประจำเดือน การที่คุณปวดหัวทุกครั้งในช่วงที่มีประจำเดือนหรือช่วง 2 วันแรกก่อนมีประจำเดือนถึงจะแสดงว่าคุณเป็น "ไมเกรนในช่วงมีประจำเดือน" ซึ่ง เกิดจากการที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายลดต่ำลง ทำให้ปวดหัวนานกว่าเดิม มากกว่าเดิม และรักษายากยิ่งกว่าเดิม ในกรณีนี้ไม่ควรเพิกเฉยต่ออาการดังกล่าวแต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อดูอาการให้แน่ใจ
9. ยาที่ใช้รักษาโรคอื่นอาจทำให้ปวดหัวได้ ยาที่แพทย์สั่งให้ทานเพื่อรักษาโรคอื่นที่เป็นอยู่อาจมีผลข้างเคียงทำให้เรา ปวดหัวมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้ในกรณีนี้ลองให้แพทย์สั่งยาตัวอื่นที่รักษาโรค นั้น ๆ ได้และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ มาทานแทน10. อย่าพยายามเอาชนะโรคไมเกรนสุดสัปดาห์ บางคนมักปวดหัวในช่วงสุดสัปดาห์เนื่องจากการพักผ่อนมากเกินไป การพักผ่อนนี้ก็เป็นผลมาจากความเครียดสะสมที่เกิดขึ้นตลอดวันทำงานที่ผ่านมา ทางที่ดีเราควรหลีกเลี่ยงเรื่องเครียดต่าง ๆ แล้วหากิจกรรมอื่นทำ เช่น ปลูกต้นไม้ เล่นกับสุนัข11. อย่าหยุดทานยาคุมกำเนิดเพียงเพราะว่าปวดหัว สำหรับผู้หญิงบางคนถ้าทานยาคุม ไมเกรนจะกำเริบมากยิ่งขึ้น ในกรณีนี้ให้นำยาไปให้สูตินารีแพทย์ดู เผื่อว่าแพทย์จะสั่งยาคุมตัวอื่นที่เหมาะกับเราให้เราลองทานดูได้ อย่างไรก็ตามหญิงสาวที่เป็นไมเกรน และทานยาคุมด้วยนั้นจะต้องไม่สูบบุหรี่เป็นอันขาด เพราะจะเสี่ยงต่อการที่เลือดแข็งตัวผิดปกติ12. หากคุณอยู่ในช่วงวัยทองอย่าทำการบำบัดฮอร์โมน การบำบัดฮอร์โมน อาจยิ่งทำให้อาการปวดหัวแย่ลง หากจำเป็นจริง ๆ ให้แพทย์สั่งยาที่จะช่วยคงสมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ที่เหมาะกับเราให้ดีกว่า13. อย่าทานยาแก้ปวดหัวในขณะที่ตั้งครรภ์อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรกที่ตั้งครรภ์เพราะยาแก้ปวดบางตัวอาจทำให้แท้ลูก หรือทำให้ลูกที่อยู่ในครรภ์พิการได้ ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าทานยาได้หรือไม่ ควรไปปรึกษาแพทย์เสียก่อน14. อย่ารักษาแต่อาการปวดหัวอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ก็ต้องรักษาด้วย โดยปกติไมเกรนอาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ด้วย เช่น วิงเวียนและคลื่นไส้อาเจียน ในกรณีนี้ให้ทานยาแก้วิงเวียน ซึ่งจะทำให้กระเพาะอาหารซึมซับยาได้ดีขึ้นและทำให้หายปวดหัวได้ ส่วนอาการแทรกซ้อนอีกย่างก็คือ คลื่นไส้อาเจียน ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์สั่งยาให้
15. ไม่ได้มีแต่ยาที่ช่วยแก้ปวดหัว หากคุณได้รับความทุกข์ทรมานจากการปวดหัวอยู่บ่อย ๆ ยังมีทางเลือกอื่นที่จะรักษาอาการปวดหัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผู้เชี่ยวชาญพิเศษแนะนำนั่นก็คือ ไบโอฟีดแบ็ก (Biofeedback) คือ กรรมวิธีการรักษาผู้ที่ป่วยเป็นโรคไมเกรน หรือโรคเครียดที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง นอกจากนี้ยังช่วยรักษาผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง ระบบขับถ่ายไม่ดี ความดันเลือดสูง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ฯลฯ เทรนนิ่งออโตเจโน (Training Autogeno) คือการควบคุมตัวเองเพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย เหมาะกับคนที่ชอบวิตกกังวล เป็นไมเกรน มีความเครียดสูงหรือเป็นโรคหอบหืด และการฝังเข็ม วิธีการเหล่านี้ต่างก็ได้รับการยืนยันว่าช่วยลดอาการปวดหัวได้ Tips 1. หากคุณคิดว่าตัวเองเป็นไมเกรนแน่นอนแล้วละก็ คุณควรจะหาชาสมุนไพรเก๊กฮวยดื่มซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้ 2. หากใครกำลังใช้ยารักษาไมเกรนยี่ห้อ Avamigram, Cafergot, Degran, Poligot-CF และ Polygot ควร จะต้องรู้ว่าห้ามทานเกิน 6 เม็ดต่อวัน หรือ 10 เม็ดต่อสัปดาห์ หากต้องการให้ได้ผลควรนอนพักผ่อนในห้องที่มืด เงียบ และอุณหภูมิที่เหมาะสม แต่หากมีอาการข้างเคียง เช่น ขาไม่มีแรงเจ็บหน้าอก แขน คอ ไหล่ หรือปวดท้อง ปลายมือเท้าชา และรู้สึกเย็นซ่า รีบหยุดยาแล้วไปพบแพทย์ทันที
อ้างอิง http://www.vcharkarn.com/varticle/39895
ระวัง! โรคที่มากับการ 'นอนสระผม'
กระดูกกดเส้นประสาท
เชื่อได้เลยว่า หลายครอบครัว คงต้องมีสมาชิกคนใดคนหนึ่ง ชอบออกมาสระผมตามร้านทำผม หรือไม่ก็นอนให้ลูกหลานสระให้ที่บ้าน โดยเฉพาะคุณแม่บ้าน หรือลูกสาวแล้ว มักจะคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้ดีกว่าใคร แต่จะมีสักกี่คน ที่จะหารู้ไม่ว่า การนอนหงายแหงนคอบนเตียงสระผมบ่อยๆ อาจทำให้เกิดภาวะการกดทับเส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดคอร้าวลงแขน หรือชาแขนได้ กับอาการดังกล่าวข้างต้นนี้ "นพ.สุธี ศิริเวชฎารักษ์" แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู อธิบายให้ฟังว่า กระดูกสันหลังส่วนคอของคนปกติ จะมีช่องด้านข้างสองข้าง ซึ่งเป็นทางออกของเส้นประสาทไปยังสันหลัง โดยเส้นประสาทเหล่านี้ เมื่อรวมกันเป็นเส้นประสาทใหญ่ จะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณแขน และมือ รวมทั้งรับความรู้สึกในบริเวณดังกล่าว ซึ่งช่องที่ว่านั้น จะมีรูปร่างค่อนข้างกลม หรือเป็นรูปไข่ และช่องจะแคบลงเล็กน้อย เมื่อแหงนคอ สำหรับในบางคน เมื่อมีอายุมากขึ้น หรือมีภาวะความเสื่อมของกระดูกสันหลังส่วนคอ หรือหมอนรองกระดูกคอ จะทำให้กระดูก หรือหมอนรองกระดูกยื่นเข้าไปในช่องดังกล่าว มีผลทำให้ช่องแคบลงได้ง่าย เมื่อแหงนคอ และจะแคบยิ่งขึ้น ส่งผลให้กระดูก หรือหมอนรองกระดูกที่ยื่นออกมา มีโอกาสไปกดทับ และเบียดกับเส้นประสาทไขสันหลังได้ ทำให้คนๆ นั้น เกิดอาการปวดชาตามแนวเส้นประสาทนั่นเอง
ดังนั้น คุณผู้หญิง ไม่ว่าจะคุณแม่บ้าน หรือคุณลูกสาว ที่มักไปสระผมตามร้านเสริมสวย ซึ่งท่านอนสระที่ต้องแหงนคอบนเตียงสระผมเป็นเวลานาน อาจทำให้ช่องที่เส้นประสาทแคบลงได้ หรือในบางคนอาจจะมีการกดทับเส้นประสาทเกิดขึ้นได้ โดยอาการจะแปรผันไปตามความบ่อยของการไปนอนสระผม ทำให้บางครั้งเส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอได้รับบาดเจ็บอย่างถาวร จนเกิดอาการของการกดทับเส้นประสาทเกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ได้มีการศึกษา และเรียกอาการในกลุ่มอาการนี้ว่า 'Salon sink syndrome' " ผู้ที่มีความเสี่ยงคือ ผู้หญิงที่สระผมตามร้านบ่อยๆ ขณะเดียวกัน ถ้าไปสระผมบ่อยๆ ในรายที่มีอายุมาก ก็อาจมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อย เนื่องจากมีภาวะกระดูกคอเสื่อม หรือหมอนรองกระดูกคอเสื่อมอยู่แล้ว ทั้งนี้ รวมไปถึงในรายที่เคยมีประวัติปวดคอ หรือการบาดเจ็บที่คอก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน เพราะเคยมีหมอนรองกระดูกคอเคลื่อนหรือกระดูกงอกในบริเวณนั้นอยู่แล้ว"
ดังนั้น การป้องกันที่ดี คุณหมอให้คำแนะนำว่า หลีกเลี่ยงการไปนอนสระผม โดยท่าแหงนคอบ่อยๆ แต่ถ้ามีความจำเป็น อาจจะต้องยอมนอนให้ศีรษะต่ำลงมา ถึงแม้ว่าจะทำให้เปียกบ้างก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง ไม่ว่าจะเข้าร้านบ่อยครั้งๆ ทั้งๆ ที่มีอายุมากแล้ว ก็ควรหลีกเลี่ยงท่าทางการนอนสระผมในท่านอนหงายแหงนคอบนเตียงสระผมให้น้อยลง แต่หากว่ามีอาการปวดคอ โดยเฉพาะอาการปวดร้าวมาที่ไหล่ สะบัก หรือแขน นอกจากนี้ ถ้ามีอาการชา หรือยิบๆ ที่แขน และมือ หรือรู้สึกว่า กล้ามเนื้อแขนอ่อนแรงภายหลังการสระผม และเมื่อพักแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น ให้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลังเพื่อได้รับการวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้องต่อไป ซึ่งการรักษาจะมีตั้งแต่กินยา ทำกายภาพบำบัด หรือการผ่าตัด
อ้างอิง http://www.vcharkarn.com/varticle/39897
เชื่อได้เลยว่า หลายครอบครัว คงต้องมีสมาชิกคนใดคนหนึ่ง ชอบออกมาสระผมตามร้านทำผม หรือไม่ก็นอนให้ลูกหลานสระให้ที่บ้าน โดยเฉพาะคุณแม่บ้าน หรือลูกสาวแล้ว มักจะคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้ดีกว่าใคร แต่จะมีสักกี่คน ที่จะหารู้ไม่ว่า การนอนหงายแหงนคอบนเตียงสระผมบ่อยๆ อาจทำให้เกิดภาวะการกดทับเส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดคอร้าวลงแขน หรือชาแขนได้ กับอาการดังกล่าวข้างต้นนี้ "นพ.สุธี ศิริเวชฎารักษ์" แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู อธิบายให้ฟังว่า กระดูกสันหลังส่วนคอของคนปกติ จะมีช่องด้านข้างสองข้าง ซึ่งเป็นทางออกของเส้นประสาทไปยังสันหลัง โดยเส้นประสาทเหล่านี้ เมื่อรวมกันเป็นเส้นประสาทใหญ่ จะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณแขน และมือ รวมทั้งรับความรู้สึกในบริเวณดังกล่าว ซึ่งช่องที่ว่านั้น จะมีรูปร่างค่อนข้างกลม หรือเป็นรูปไข่ และช่องจะแคบลงเล็กน้อย เมื่อแหงนคอ สำหรับในบางคน เมื่อมีอายุมากขึ้น หรือมีภาวะความเสื่อมของกระดูกสันหลังส่วนคอ หรือหมอนรองกระดูกคอ จะทำให้กระดูก หรือหมอนรองกระดูกยื่นเข้าไปในช่องดังกล่าว มีผลทำให้ช่องแคบลงได้ง่าย เมื่อแหงนคอ และจะแคบยิ่งขึ้น ส่งผลให้กระดูก หรือหมอนรองกระดูกที่ยื่นออกมา มีโอกาสไปกดทับ และเบียดกับเส้นประสาทไขสันหลังได้ ทำให้คนๆ นั้น เกิดอาการปวดชาตามแนวเส้นประสาทนั่นเอง
ดังนั้น คุณผู้หญิง ไม่ว่าจะคุณแม่บ้าน หรือคุณลูกสาว ที่มักไปสระผมตามร้านเสริมสวย ซึ่งท่านอนสระที่ต้องแหงนคอบนเตียงสระผมเป็นเวลานาน อาจทำให้ช่องที่เส้นประสาทแคบลงได้ หรือในบางคนอาจจะมีการกดทับเส้นประสาทเกิดขึ้นได้ โดยอาการจะแปรผันไปตามความบ่อยของการไปนอนสระผม ทำให้บางครั้งเส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอได้รับบาดเจ็บอย่างถาวร จนเกิดอาการของการกดทับเส้นประสาทเกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ได้มีการศึกษา และเรียกอาการในกลุ่มอาการนี้ว่า 'Salon sink syndrome' " ผู้ที่มีความเสี่ยงคือ ผู้หญิงที่สระผมตามร้านบ่อยๆ ขณะเดียวกัน ถ้าไปสระผมบ่อยๆ ในรายที่มีอายุมาก ก็อาจมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อย เนื่องจากมีภาวะกระดูกคอเสื่อม หรือหมอนรองกระดูกคอเสื่อมอยู่แล้ว ทั้งนี้ รวมไปถึงในรายที่เคยมีประวัติปวดคอ หรือการบาดเจ็บที่คอก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน เพราะเคยมีหมอนรองกระดูกคอเคลื่อนหรือกระดูกงอกในบริเวณนั้นอยู่แล้ว"
ดังนั้น การป้องกันที่ดี คุณหมอให้คำแนะนำว่า หลีกเลี่ยงการไปนอนสระผม โดยท่าแหงนคอบ่อยๆ แต่ถ้ามีความจำเป็น อาจจะต้องยอมนอนให้ศีรษะต่ำลงมา ถึงแม้ว่าจะทำให้เปียกบ้างก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง ไม่ว่าจะเข้าร้านบ่อยครั้งๆ ทั้งๆ ที่มีอายุมากแล้ว ก็ควรหลีกเลี่ยงท่าทางการนอนสระผมในท่านอนหงายแหงนคอบนเตียงสระผมให้น้อยลง แต่หากว่ามีอาการปวดคอ โดยเฉพาะอาการปวดร้าวมาที่ไหล่ สะบัก หรือแขน นอกจากนี้ ถ้ามีอาการชา หรือยิบๆ ที่แขน และมือ หรือรู้สึกว่า กล้ามเนื้อแขนอ่อนแรงภายหลังการสระผม และเมื่อพักแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น ให้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลังเพื่อได้รับการวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้องต่อไป ซึ่งการรักษาจะมีตั้งแต่กินยา ทำกายภาพบำบัด หรือการผ่าตัด
อ้างอิง http://www.vcharkarn.com/varticle/39897
สมองเสื่อม...ความผิดปกติที่รักษาได้
สมองของคนเราเป็นอวัยวะที่มีความสลับซับซ้อนในการทำงาน เซลล์สมองเป็นเซลล์ที่มีความจำเพาะ และเปราะบางที่สุด หากเซลล์สมองซึ่งในคนปกติมีอยู่นับพันล้านตัวเกิดการเสียหาย จะไม่มีการสร้างมาทดแทนได้เช่นอวัยวะอื่นๆ มนุษย์เราทราบถึงความมหัศจรรย์ในการทำงาน และความสามารถของสมองมานานแล้ว จึงได้พยายามหาวิธีที่จะเพิ่มศักยภาพของสมองให้ตัวเองฉลาดขึ้น หรือหายาที่จะช่วยบำรุงให้สมองดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ประสพผลสำเร็จ ตรงกันข้าม คนส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มักมีปัญหาเรื่องความจำ มักจะหลงลืมง่าย หรือบุคลิกภาพ และอารมณ์ผิดไปจากปกติ บางรายเป็นมากจนจัดอยู่ในขั้นภาวะสมองเสื่อม เมื่อพูดถึงโรค “สมองเสื่อม” เรามักคิดถึงโรคอัลไซเมอร์ก่อนเป็นสิ่งแรก ทั้งที่ในความจริงแล้วสมองเสื่อมคือภาวะหนึ่งของสมองซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ และที่สำคัญ ใช่ว่าภาวะนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุเท่านั้น ในผู้ที่มีอายุน้อย วัยรุ่นหนุ่มฉกรรจ์ ก็อาจเกิดภาวะสมองเสื่อมได้เช่นกัน โดยอาจมีสาเหตุมาจากโรคพันธุกรรม โรคการติดเชื้อของสมอง สารพิษ โรคหลอดเลือดสมอง หรือแม้กระทั่งอุบัติเหตุ เป็นต้น
ภาวะสมองเสื่อม
เพื่อความเข้าใจถึงภาวะสมองเสื่อมที่ชัดเจน นายแพทย์สุพล เจริญจิตต์กุล อายุรแพทย์ระบบประสาท ศูนย์สมองและระบบประสาทกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้อธิบายไว้ว่า “โดยทั่วไปคนไข้มักจะเข้าใจว่าภาวะสมองเสื่อมก็คือการมีความจำแย่ลง แต่จริงๆ แล้วยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม การรับรู้-การเรียนสิ่งใหม่ๆ เสื่อมถอย นอกจากนี้บางคนอาจมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอันเนื่องมาจากการทำงานของสมองที่เสื่อมลง เช่น ในโรคพาร์คินสันซึ่งก็คือภาวะสมองเสื่อมอย่างหนึ่ง คนไข้อาจจะมือสั่น เดินซอยเท้า การทรงตัวไม่ดี แต่โดยทั่วไปแล้ว อัลไซเมอร์เป็นโรคที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด คือเกือบครึ่งหนึ่งของคนไข้ที่มีภาวะสมองเสื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไข้ที่อายุเกิน 65 ปี ภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุยังอาจเกิดจากโรคของหลอดเลือดสมอง ทั้งหลอดเลือดสมองตีบ อุดตัน หรือแตก “ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่สามารถนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมได้ในทุกวัยนั้นมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อในสมอง เช่น เชื้อไวรัส Herpes Encephalitis, ซิฟิลิสขึ้นสมอง, ภาวะเนื้องอกในสมองส่วนที่ควบคุมพฤติกรรม, ภาวะน้ำในโพรงสมอง (Normal Pressure Hydrocephalus), เลือดออกที่ใต้เยื่อหุ้มสมอง (Subdural Hematoma), การขาดวิตามินบี12, ผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง, โรคลมชักที่ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง, ผู้ได้รับสารพิษ เช่น สารตะกั่ว เป็นต้น โดยภาวะสมองเสื่อมในกลุ่มนี้หากได้รับการวินิจฉัยโรคโดยเร็ว และทำการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที ผู้ป่วยก็มีโอกาสที่จะกลับคืนสู่สภาพปกติได้ แต่หากได้รับการรักษาช้า สมองย่อมจะถูกทำลายไปมาก แม้จะได้รับการรักษาก็อาจมีความพิการของสมองหลงเหลืออยู่ได้”
การรักษาภาวะสมองเสื่อมทำได้อย่างไรการรักษาภาวะสมองเสื่อมนั้น คุณหมอสุพลบอกว่า มีทั้งโรคที่สามารถรักษาได้ผลดีและรักษาได้บางส่วน แต่ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น “อยากให้ตระหนักกันว่า ยังมีภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากโรคต่างๆ ซึ่งสามารถรักษาได้หากมาพบแพทย์ทันท่วงทีและได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ใช่มองแต่ว่าภาวะสมองเสื่อมคืออัลไซเมอร์ และรักษาไม่หายขาด” คุณหมอกล่าว แต่ก่อนจะถึงขั้นตอนของการรักษา จะต้องทราบถึงสาเหตุเสียก่อน ดังนั้นขั้นตอนในการวินิจฉัยโรคจึงมีความสำคัญมาก “ก่อนอื่นเราต้องตรวจให้ได้เสียก่อนว่าคนไข้มีภาวะสมองเสื่อมจริงหรือไม่ เพราะยังมีภาวะสมองเสื่อมเทียม (Pseudodementia) ที่อาจเกิดจากโรคซึมเศร้า คนไข้จะมีอาการวิตกกังวล ไม่มีสมาธิที่จะจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดีเหมือนคนปกติ อาการเช่นนี้ก็ทำให้ดูเหมือนมีภาวะสมองเสื่อมได้เช่นกัน ส่วนจะใช้เวลานานเพียงใดกว่าที่จะแสดงอาการของภาวะสมองเสื่อมนั้น ไม่สามารถบอกได้ แต่กลุ่มที่มีภาวะสมองเสื่อมเทียมจากอาการซึมเศร้า คนไข้จะแสดงอาการไม่นานก็มักมาพบแพทย์ แต่หากเป็นอัลไซเมอร์ จะใช้เวลาเป็นเดือนในการที่จะแสดงอาการให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ต้องอาศัยข้อมูลการเฝ้าสังเกตอาการจากญาติถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น “เมื่อตรวจพบว่าคนไข้มีภาวะสมองเสื่อมจริง แพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อแยกโรคต่างๆ ซึ่งรวมการตรวจเลือด การตรวจสมองด้วยการทำ CT Scan หรือการตรวจ MRI ตรวจคลื่นสมอง EEG เป็นต้น เมื่อทราบสาเหตุแล้วก็รักษาที่ต้นเหตุ แต่การรักษาจะได้ผลดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของโรค ตัวอย่างเช่น การติดเชื้อในสมอง คนที่มีอาการ 1 วัน สมองย่อมจะไม่ถูกทำลายมากเท่ากับคนที่มีอาการมาแล้ว 4-5 วัน เมื่อได้รับการรักษา สมองย่อมฟื้นตัวได้ดีกว่า ยิ่งมาพบแพทย์เร็ว ได้รับการรักษาเร็ว สมองก็แทบจะไม่มีผลเสียหายตามมา”
จะป้องกันตนเองจากภาวะสมองเสื่อมได้อย่างไร คุณหมอสุพลยังได้ฝากวิธีง่ายๆ ในการดูแลตนเองให้ห่างไกลจากปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อม คือการพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาจจะโดยการวิ่งเหยาะๆ วันละ 30 นาที ให้ได้มากกว่า 4 ครั้งต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ต้องดูแลตัวเองไม่ให้มีปัจจัยเสี่ยง ไม่ให้มีเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง สิ่งใดที่ทำแล้วเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ควรงดเสีย และเมื่อเกิดอาการผิดปกติใดๆ อย่าซื้อยารับประทานเอง เพราะยาหลายชนิดจะทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมเมื่อรับประทานเป็นระยะเวลานานๆ โดยไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ หรือยาบางชนิดก็ทำให้เกิดอาการมือสั่นหรือแข็งเกร็งคล้ายพาร์คินสันได้ “ที่สำคัญคือทั้งตัวเราเอง และบุคคลรอบข้างควรสังเกตซึ่งกันและกันคือถ้ามีบุคลิกเปลี่ยนแปลง สับสน ความจำเสื่อมลง พฤติกรรมเปลี่ยนไป ยิ่งถ้ามีไข้ร่วมด้วย ยิ่งต้องรีบพามาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป” คุณหมอสุพลกล่าวสรุป
อ้างอิง http://www.vcharkarn.com/varticle/39912
ภาวะสมองเสื่อม
เพื่อความเข้าใจถึงภาวะสมองเสื่อมที่ชัดเจน นายแพทย์สุพล เจริญจิตต์กุล อายุรแพทย์ระบบประสาท ศูนย์สมองและระบบประสาทกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้อธิบายไว้ว่า “โดยทั่วไปคนไข้มักจะเข้าใจว่าภาวะสมองเสื่อมก็คือการมีความจำแย่ลง แต่จริงๆ แล้วยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม การรับรู้-การเรียนสิ่งใหม่ๆ เสื่อมถอย นอกจากนี้บางคนอาจมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอันเนื่องมาจากการทำงานของสมองที่เสื่อมลง เช่น ในโรคพาร์คินสันซึ่งก็คือภาวะสมองเสื่อมอย่างหนึ่ง คนไข้อาจจะมือสั่น เดินซอยเท้า การทรงตัวไม่ดี แต่โดยทั่วไปแล้ว อัลไซเมอร์เป็นโรคที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด คือเกือบครึ่งหนึ่งของคนไข้ที่มีภาวะสมองเสื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไข้ที่อายุเกิน 65 ปี ภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุยังอาจเกิดจากโรคของหลอดเลือดสมอง ทั้งหลอดเลือดสมองตีบ อุดตัน หรือแตก “ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่สามารถนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมได้ในทุกวัยนั้นมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อในสมอง เช่น เชื้อไวรัส Herpes Encephalitis, ซิฟิลิสขึ้นสมอง, ภาวะเนื้องอกในสมองส่วนที่ควบคุมพฤติกรรม, ภาวะน้ำในโพรงสมอง (Normal Pressure Hydrocephalus), เลือดออกที่ใต้เยื่อหุ้มสมอง (Subdural Hematoma), การขาดวิตามินบี12, ผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง, โรคลมชักที่ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง, ผู้ได้รับสารพิษ เช่น สารตะกั่ว เป็นต้น โดยภาวะสมองเสื่อมในกลุ่มนี้หากได้รับการวินิจฉัยโรคโดยเร็ว และทำการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที ผู้ป่วยก็มีโอกาสที่จะกลับคืนสู่สภาพปกติได้ แต่หากได้รับการรักษาช้า สมองย่อมจะถูกทำลายไปมาก แม้จะได้รับการรักษาก็อาจมีความพิการของสมองหลงเหลืออยู่ได้”
การรักษาภาวะสมองเสื่อมทำได้อย่างไรการรักษาภาวะสมองเสื่อมนั้น คุณหมอสุพลบอกว่า มีทั้งโรคที่สามารถรักษาได้ผลดีและรักษาได้บางส่วน แต่ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น “อยากให้ตระหนักกันว่า ยังมีภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากโรคต่างๆ ซึ่งสามารถรักษาได้หากมาพบแพทย์ทันท่วงทีและได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ใช่มองแต่ว่าภาวะสมองเสื่อมคืออัลไซเมอร์ และรักษาไม่หายขาด” คุณหมอกล่าว แต่ก่อนจะถึงขั้นตอนของการรักษา จะต้องทราบถึงสาเหตุเสียก่อน ดังนั้นขั้นตอนในการวินิจฉัยโรคจึงมีความสำคัญมาก “ก่อนอื่นเราต้องตรวจให้ได้เสียก่อนว่าคนไข้มีภาวะสมองเสื่อมจริงหรือไม่ เพราะยังมีภาวะสมองเสื่อมเทียม (Pseudodementia) ที่อาจเกิดจากโรคซึมเศร้า คนไข้จะมีอาการวิตกกังวล ไม่มีสมาธิที่จะจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดีเหมือนคนปกติ อาการเช่นนี้ก็ทำให้ดูเหมือนมีภาวะสมองเสื่อมได้เช่นกัน ส่วนจะใช้เวลานานเพียงใดกว่าที่จะแสดงอาการของภาวะสมองเสื่อมนั้น ไม่สามารถบอกได้ แต่กลุ่มที่มีภาวะสมองเสื่อมเทียมจากอาการซึมเศร้า คนไข้จะแสดงอาการไม่นานก็มักมาพบแพทย์ แต่หากเป็นอัลไซเมอร์ จะใช้เวลาเป็นเดือนในการที่จะแสดงอาการให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ต้องอาศัยข้อมูลการเฝ้าสังเกตอาการจากญาติถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น “เมื่อตรวจพบว่าคนไข้มีภาวะสมองเสื่อมจริง แพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อแยกโรคต่างๆ ซึ่งรวมการตรวจเลือด การตรวจสมองด้วยการทำ CT Scan หรือการตรวจ MRI ตรวจคลื่นสมอง EEG เป็นต้น เมื่อทราบสาเหตุแล้วก็รักษาที่ต้นเหตุ แต่การรักษาจะได้ผลดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของโรค ตัวอย่างเช่น การติดเชื้อในสมอง คนที่มีอาการ 1 วัน สมองย่อมจะไม่ถูกทำลายมากเท่ากับคนที่มีอาการมาแล้ว 4-5 วัน เมื่อได้รับการรักษา สมองย่อมฟื้นตัวได้ดีกว่า ยิ่งมาพบแพทย์เร็ว ได้รับการรักษาเร็ว สมองก็แทบจะไม่มีผลเสียหายตามมา”
จะป้องกันตนเองจากภาวะสมองเสื่อมได้อย่างไร คุณหมอสุพลยังได้ฝากวิธีง่ายๆ ในการดูแลตนเองให้ห่างไกลจากปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อม คือการพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาจจะโดยการวิ่งเหยาะๆ วันละ 30 นาที ให้ได้มากกว่า 4 ครั้งต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ต้องดูแลตัวเองไม่ให้มีปัจจัยเสี่ยง ไม่ให้มีเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง สิ่งใดที่ทำแล้วเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ควรงดเสีย และเมื่อเกิดอาการผิดปกติใดๆ อย่าซื้อยารับประทานเอง เพราะยาหลายชนิดจะทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมเมื่อรับประทานเป็นระยะเวลานานๆ โดยไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ หรือยาบางชนิดก็ทำให้เกิดอาการมือสั่นหรือแข็งเกร็งคล้ายพาร์คินสันได้ “ที่สำคัญคือทั้งตัวเราเอง และบุคคลรอบข้างควรสังเกตซึ่งกันและกันคือถ้ามีบุคลิกเปลี่ยนแปลง สับสน ความจำเสื่อมลง พฤติกรรมเปลี่ยนไป ยิ่งถ้ามีไข้ร่วมด้วย ยิ่งต้องรีบพามาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป” คุณหมอสุพลกล่าวสรุป
อ้างอิง http://www.vcharkarn.com/varticle/39912
สูตรพอกหน้า
สูตรที่ 1 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ จากประเทศญี่ปุ่น
วิธีทำ เริ่มด้วยการฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซี และกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด
สูตรที่ 2 พอกหน้าด้วยไข่ขาว จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
วิธีทำ ตอกไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
สูตรที่ 3 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง จากประเทศสเปน
วิธีทำ เริ่มจากล้างหน้าให้สะอาด แล้วเช็ดให้แห้ง จากนั้นใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพักศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออกให้สะอาด
สูตรที่ 4 พอกหน้าด้วยแอปเปิล จากประเทศเบลเยียม
วิธีทำ ปอกแอปเปิลแล้วคว้านเอาไส้และเมล็ดออก จากนั้นบดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก
สูตรที่ 5 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว จากประเทศรัสเซีย
วิธีทำ สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้
สูตรที่ 6 พอกหน้าด้วยแตงโม จากประเทศตุรกี
วิธีทำ จัดการฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
สูตรที่ 7 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง จากประเทศฝรั่งเศส
วิธีทำ ด้วยการผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
อ้างอิง http://diary.bluegy.com
วิธีทำ เริ่มด้วยการฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซี และกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด
สูตรที่ 2 พอกหน้าด้วยไข่ขาว จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
วิธีทำ ตอกไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
สูตรที่ 3 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง จากประเทศสเปน
วิธีทำ เริ่มจากล้างหน้าให้สะอาด แล้วเช็ดให้แห้ง จากนั้นใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพักศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออกให้สะอาด
สูตรที่ 4 พอกหน้าด้วยแอปเปิล จากประเทศเบลเยียม
วิธีทำ ปอกแอปเปิลแล้วคว้านเอาไส้และเมล็ดออก จากนั้นบดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก
สูตรที่ 5 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว จากประเทศรัสเซีย
วิธีทำ สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้
สูตรที่ 6 พอกหน้าด้วยแตงโม จากประเทศตุรกี
วิธีทำ จัดการฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
สูตรที่ 7 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง จากประเทศฝรั่งเศส
วิธีทำ ด้วยการผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
อ้างอิง http://diary.bluegy.com
การรักษาสิว
• 1. ยาใช้รักษาสิวจะเป็นพวกกรดวิตามิน เอ ในกรณีนี้จะใช้ในคนที่เป็นสิวไม่หายและต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจเป็นอันตรายได้
• 2. อย่าพยายามแต่งหน้าให้หนาเกินไป ในช่วงเป็นสิวควรแต่งหน้าแบบบางเบาหรืออาจไม่แต่งเลย แต่ถ้าเป็นสาวทำงานต้องสวยอยู่เสมอ ก็อย่าลงรองพื้นหนานัก เพราะจะทำให้เป็นสิว และยังเกิดรอยย่นได้ง่าย ๆ อีกด้วย
• 3.ในกรณีที่มีสิวเสี้ยน วิธีนี้อาจช่วยได้ ใช้ไข่ขาวพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก
• 4. ทาครีมหรือเจลรักษาสิวที่มีส่วนผสมจำพวก ซาลิไซลิก แอซิด
อ้างอิง http://variety.teenee.com
• 2. อย่าพยายามแต่งหน้าให้หนาเกินไป ในช่วงเป็นสิวควรแต่งหน้าแบบบางเบาหรืออาจไม่แต่งเลย แต่ถ้าเป็นสาวทำงานต้องสวยอยู่เสมอ ก็อย่าลงรองพื้นหนานัก เพราะจะทำให้เป็นสิว และยังเกิดรอยย่นได้ง่าย ๆ อีกด้วย
• 3.ในกรณีที่มีสิวเสี้ยน วิธีนี้อาจช่วยได้ ใช้ไข่ขาวพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก
• 4. ทาครีมหรือเจลรักษาสิวที่มีส่วนผสมจำพวก ซาลิไซลิก แอซิด
อ้างอิง http://variety.teenee.com
วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
การเลือกชื้อคอมใหเเหมาะกับการใช้งาน
เลือกให้เหมาะ ปรับใช้ให้ถูก
ในการเลือกซื้อโน๊ตบุคให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งานของคุณนั้น เป็นเรื่องจำเป็น นอกจากงบประมาณที่ได้ตั้งไว้ก่อนเลือกซื้อแล้ว จะต้องมองลึกลงไปว่า เราจะนำ Notebook มาใช้งานด้านใด เนื่องจากมีการแบ่งประเภทตามรูปแบบและลักษณะการใช้งาน เช่น การนำเสนอ มัลติมีเดีย การเสื่อสารไร้สาย และสะดวก พกพาเป็นต้น คุณควรจะพิจารณาก่อนว่า จะซื้อ Notebook มาเพื่อใช้งานอะไร ใช้กับโปรแกรมประเภทใด เช่น ใช้พิมพ์งาน ควรพิจารณาเรื่องคีย์บอร์ดเป็นสำคัญ การวางตำแหน่งมือ การพิมพ์ตัวเลข การใช้งานด้านกราฟิคจะต้องพิจารณาเรื่องการแสดงผลภาพ ความละเอียดหน้าจอ เป็นต้น
หมดยุคแล้วที่จะซื้อโน๊ตบุคตามเพื่อน ตัวนี้แรง ตัวนั้นเจ๋ง ไม่ใช่ว่าซื้อมาเกือบแสน แต่เอามาพิมพ์งานก็ไม่ใช่เรื่องสนุกนัก เรามาเลือกซื้อโน๊ตบุคให้เหมาะกับความต้องการของเรากันดีกว่า
ผู้ใช้ตามบ้าน
ผู้ใช้งานตามบ้าน ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยได้แบก Notebook ออกไปนอกสถานที่บ่อยนัก แต่จะมองเรื่องการจัดวางมากกว่า วางบนโต๊ะตัวเล็กๆได้ง่าย บางคนอาจซื้อ Notebook มาเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องที่ 2 หรือ 3 รองจาก PC ที่ใช้อยู่แล้ว โดยจะเน้นคุณสมบัติในการใช้งาน ที่คล้ายคลึงกับเครื่องพีซีที่ไช้งานอยู่เดิม แต่อาจเน้นความสะดวกในการพกพาไปอีกห้องหนึ่ง เช่นอยากดูโทรทัศน์ก็ยกไปดูอีกห้องหนึ่งได้สะดวก โดยในการเลือกซื้อให้เลือกโน๊ตบุค 2 กลุ่มคือแบบเมนสตรีม และแบบ desktop replacement ซึ่งมีความสามารถใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์พีซีนั่นเอง
แนวทางในการเลือกซื้อ:
ซีพียู: AMD Turion, Intel Core Duo หรือ Intel Core 2 Duo
หน่วยความจำอย่างน้อย 512MB
มีขนาดความจุฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่สำหรับจัดเก็บภาพถ่ายและวีดีโอ
จอแสดงผลขนาด 14 นิ้วหรือใหญ่กว่า
ไดร์ว DVD/CDRW combo drive แบบติดตั้งภายในหรือภายนอกเชื่อมต่อแบบ USB
คีย์บอร์ดและเม้าส์แบบต่อภายนอก จะสะดวกในการใช้งานมากกว่า
Ethernet และการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย ไม่ต้องพ่วงสายโทรศัพท์ระโยงระยาง
ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows XP
พวกโปรแกรม Microsoft Office ต่างๆ โปรแกรมตัดต่อภาพ เพลง รับชมภาพยนตร์
จุดเด่นคือใช้แทน PC ได้ ความสามารถไม่ต่างกันมาก แถมรองรับการทำงานได้หลากหลาย
ใช้ได้ทั้งครอบครัว
แน่นอนว่ากลุ่มนักเรียน / นักศึกษา จุดหลักๆคือนำมาใช้ประกอบการเรียน บางคนอยู่หอ เนื้อที่ห้องคับแคบ จะหาคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ก็เกะกะห้อง และกลุ่มนี้จะมีงบประมาณที่จำกัด และงานหลักๆที่ใช้คือพิมพ์งาน ค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ฟังเพลง ดูภาพยนตร์ เล่นเกมซะมากกว่าจะซื้อมาทำอย่างอื่น ดังนั้นจึงต้องเลือกที่ความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปให้มากที่สุด ลำพังตำราเรียนก็หนักจะแย่อยู่แล้ว ดังนั้นต้องเลือกโน๊ตบุคน้ำหนักเบา ตัวเล็ก พกพาสะดวก และต้องมองด้วยว่า แบกกระเป๋าเรียนแล้ว ยังต้องแบกกระเป๋าใส่โน๊ตบุคอีก ทำให้หลังต้องรับภาระหนักพอสมควรเลยทีเดียว
แน่นอนว่าจุดหลักของนักเรียน / นักศึกษาต้องการค้นคว้าข้อมูลในห้องสมุด บางคนอาจทำรายงานในห้องสมุดโดยถือโน๊ตบุคไปเครื่องเดียว ดังนั้นการทำงานจะต้องรองรับการใช้งานเป็นเวลานาน พิมพ์งานได้นาน ฟังเพลงได้อึด เป็นต้น
แนวทางในการเลือกซื้อ:
ซีพียู: AMD Turion, Intel Core Duo หรือ Intel Core 2 Duo
หน่วยความจำอย่างน้อย 512MB
ขนาดความจุฮาร์ดดิสก์มากหน่อย เพื่อเก็บเพลง MP3 เยอะๆ
ไดร์ว DVD/CDRW combo สำหรับการเขียนแผ่นซีดีเพลง / ภาพยนตร์
ใช้อินเตอร์เน็ตที่หอพัก ห้องสมุด ห้องบรรยาย แบบไร้สายหรือสายแลนได้
ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows XP Home
หากใช้Apple ก็ใช้ระบบปฏิบัติการ Mac OS X
แน่นอนว่าต้องใช้ Microsoft Office หรือ Office X for Mac OS
เดินทางตลอด ไม่หยุดนิ่ง พกพา เคลื่อนที่ตลอดเวลา
ในการนำเสนองาน หรือทำธุรกิจ อาจต้องไปพบลูกค้าตลอดเวลา จะต้องพกพา และเคลื่อนที่อยู่เป็นประจำ ทำให้จุดหลักที่ต้องมองคือ เรื่องการขนาดและน้ำหนักที่เบา พกพาสะดวก และสำหรับประสิทธิภาพก็ต้องไม่เป็นรองด้วยเช่นกัน น้ำหนักควรจะเบากว่า 1.8 กิโลกรัม และไม่ควรจะหนามากเกินไป
แนวทางในการเลือกซื้อ:
ซีพียู: AMD Turion, Intel Core Duo หรือ Intel Core 2 Duo
หน่วยความจำอย่างน้อย 512MB
จอขนาดเล็ก 13.3 นิ้วหรือเล็กกว่ายิ่งดี
รองรับแลนและการเชื่อมต่อไร้สาย
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนาน และเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่าย หากต้องใช้บนเครื่องบินในเที่ยวบินข้ามทวีป
ไดร์ว DVD/CDRW combo drive แบบต่อภายนอก
ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows XP Professional หรือ Tablet Edition
Microsoft Office Professional Edition
นักธุรกิจที่วุ่นกับงานทั้งวัน
แน่นอนว่ากลุ่มนี้ต้องการโน๊ตบุคที่ทำงานได้ทุกที่ ทั้งที่บ้าน ออฟฟิศ และระหว่างการเดินทาง ระบบต้องมีความเสถียรภาพมาก เพราะทุกที่คือที่ทำงานที่ทุกนาทีเป็นเงินเป็นทองไปซะหมด แถมยังต้องรองรับแอพพลิเคชั่นที่หลากหลาย จุดสำคัญคือเรื่องการพกพาอีกนั่นแหล่ะ จึงต้องเบา บางสุดๆ
แนวทางในการเลือกซื้อ:
ซีพียู: AMD Turion หรือ Intel Core 2 Duo
หน่วยความจำอย่างน้อย 512MB
ฮาร์ดไดร์วขนาดกลาง ไม่เน้นความจำมาก หรือน้อยเกินไป แต่ต้องมีเสถียรภาพของข้อมูลมาก
จอภาพขนาด 14 นิ้ว หรือ 15.4 นิ้ว
เครื่องเขียนแผ่น Dual-layer DVD
การเชื่อมต่อแลนและไร้สาย
แบตเตอรี่ความจุสูง เพราะต้องใช้งานตลอดเวลา
ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows XP Professional, Microsoft Media Center Edition
Microsoft Office Professional
คอเกมตัวยงหรือการใช้งานด้านความบันเทิงและมัลติมีเดีย
เรียกได้ว่าต้องการคอมพิวเตอร์ Notebook desktop replacement เลยทีเดียว เพราะการทำงานจะต้องรองรับได้เหมือนกับคอมพิวเตอร์พีซี แต่เน้นที่ว่าพกพาสะดวกเข้าว่า ใช้งานตกแต่งภาพ จัดทำเวบไซต์ ตัดต่อภาพยนตร์ แน่นอนว่าจะต้องรองรับงานหนักๆได้อย่างสบาย เน้นไปที่ซีพียูประมวลผลประสิทธิภาพสูง หน่วยความจำมากๆ ชิปประมวลผลกราฟิคสุดเริ่ด และฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่
แนวทางในการเลือกซื้อ:
เน้นซีพียู: AMD Turion หรือ Intel Core 2 Duo
หน่วยความจำ 1GB หรือ 2GB
จอภาพขนาด 15.4 นิ้วหรือใหญ่กว่า
ชิปประมวลผลกราฟิค พร้อมหน่วยความจำขนาด 128MB หรือ 256MB ในตัว ที่ไม่ได้แชร์กับหน่วยความจำของเครื่อง
ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ ทำงานรวดเร็ว
เครื่องเขียนแผ่น Dual-layer DVD
รองรับการเชื่อมต่อมัลติมีเดีย S-Video, DVI, FireWire, S/PDIF
คีย์บอร์ดและเม้าส์ต่อภายนอก
ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows XP Home หรือ Professional, Microsoft Media Center Edition หรือ Apple Mac OS X (สำหรับ Mac Book)
เมื่อพิจารณาได้แล้วว่าตนเองใช้งานลักษณะใด ก็เลือกรุ่น และสเปคให้ตรงใจ จากนั้นเปรียบเทียบสเปค และราคาในแต่ละยี่ห้อ รวมทั้งการรับประกันตัวเครื่อง และการรับประกัน Dead Pixel บนหน้าจออีกด้วย
ขอให้โชคดีครับ
แปลและเรียบเรียงจาก
CNET Editor
“Notebook Buying Guide”
Website: http://asia.cnet.com/buyingguides/notebooks
ในการเลือกซื้อโน๊ตบุคให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งานของคุณนั้น เป็นเรื่องจำเป็น นอกจากงบประมาณที่ได้ตั้งไว้ก่อนเลือกซื้อแล้ว จะต้องมองลึกลงไปว่า เราจะนำ Notebook มาใช้งานด้านใด เนื่องจากมีการแบ่งประเภทตามรูปแบบและลักษณะการใช้งาน เช่น การนำเสนอ มัลติมีเดีย การเสื่อสารไร้สาย และสะดวก พกพาเป็นต้น คุณควรจะพิจารณาก่อนว่า จะซื้อ Notebook มาเพื่อใช้งานอะไร ใช้กับโปรแกรมประเภทใด เช่น ใช้พิมพ์งาน ควรพิจารณาเรื่องคีย์บอร์ดเป็นสำคัญ การวางตำแหน่งมือ การพิมพ์ตัวเลข การใช้งานด้านกราฟิคจะต้องพิจารณาเรื่องการแสดงผลภาพ ความละเอียดหน้าจอ เป็นต้น
หมดยุคแล้วที่จะซื้อโน๊ตบุคตามเพื่อน ตัวนี้แรง ตัวนั้นเจ๋ง ไม่ใช่ว่าซื้อมาเกือบแสน แต่เอามาพิมพ์งานก็ไม่ใช่เรื่องสนุกนัก เรามาเลือกซื้อโน๊ตบุคให้เหมาะกับความต้องการของเรากันดีกว่า
ผู้ใช้ตามบ้าน
ผู้ใช้งานตามบ้าน ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยได้แบก Notebook ออกไปนอกสถานที่บ่อยนัก แต่จะมองเรื่องการจัดวางมากกว่า วางบนโต๊ะตัวเล็กๆได้ง่าย บางคนอาจซื้อ Notebook มาเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องที่ 2 หรือ 3 รองจาก PC ที่ใช้อยู่แล้ว โดยจะเน้นคุณสมบัติในการใช้งาน ที่คล้ายคลึงกับเครื่องพีซีที่ไช้งานอยู่เดิม แต่อาจเน้นความสะดวกในการพกพาไปอีกห้องหนึ่ง เช่นอยากดูโทรทัศน์ก็ยกไปดูอีกห้องหนึ่งได้สะดวก โดยในการเลือกซื้อให้เลือกโน๊ตบุค 2 กลุ่มคือแบบเมนสตรีม และแบบ desktop replacement ซึ่งมีความสามารถใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์พีซีนั่นเอง
แนวทางในการเลือกซื้อ:
ซีพียู: AMD Turion, Intel Core Duo หรือ Intel Core 2 Duo
หน่วยความจำอย่างน้อย 512MB
มีขนาดความจุฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่สำหรับจัดเก็บภาพถ่ายและวีดีโอ
จอแสดงผลขนาด 14 นิ้วหรือใหญ่กว่า
ไดร์ว DVD/CDRW combo drive แบบติดตั้งภายในหรือภายนอกเชื่อมต่อแบบ USB
คีย์บอร์ดและเม้าส์แบบต่อภายนอก จะสะดวกในการใช้งานมากกว่า
Ethernet และการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย ไม่ต้องพ่วงสายโทรศัพท์ระโยงระยาง
ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows XP
พวกโปรแกรม Microsoft Office ต่างๆ โปรแกรมตัดต่อภาพ เพลง รับชมภาพยนตร์
จุดเด่นคือใช้แทน PC ได้ ความสามารถไม่ต่างกันมาก แถมรองรับการทำงานได้หลากหลาย
ใช้ได้ทั้งครอบครัว
แน่นอนว่ากลุ่มนักเรียน / นักศึกษา จุดหลักๆคือนำมาใช้ประกอบการเรียน บางคนอยู่หอ เนื้อที่ห้องคับแคบ จะหาคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ก็เกะกะห้อง และกลุ่มนี้จะมีงบประมาณที่จำกัด และงานหลักๆที่ใช้คือพิมพ์งาน ค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ฟังเพลง ดูภาพยนตร์ เล่นเกมซะมากกว่าจะซื้อมาทำอย่างอื่น ดังนั้นจึงต้องเลือกที่ความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปให้มากที่สุด ลำพังตำราเรียนก็หนักจะแย่อยู่แล้ว ดังนั้นต้องเลือกโน๊ตบุคน้ำหนักเบา ตัวเล็ก พกพาสะดวก และต้องมองด้วยว่า แบกกระเป๋าเรียนแล้ว ยังต้องแบกกระเป๋าใส่โน๊ตบุคอีก ทำให้หลังต้องรับภาระหนักพอสมควรเลยทีเดียว
แน่นอนว่าจุดหลักของนักเรียน / นักศึกษาต้องการค้นคว้าข้อมูลในห้องสมุด บางคนอาจทำรายงานในห้องสมุดโดยถือโน๊ตบุคไปเครื่องเดียว ดังนั้นการทำงานจะต้องรองรับการใช้งานเป็นเวลานาน พิมพ์งานได้นาน ฟังเพลงได้อึด เป็นต้น
แนวทางในการเลือกซื้อ:
ซีพียู: AMD Turion, Intel Core Duo หรือ Intel Core 2 Duo
หน่วยความจำอย่างน้อย 512MB
ขนาดความจุฮาร์ดดิสก์มากหน่อย เพื่อเก็บเพลง MP3 เยอะๆ
ไดร์ว DVD/CDRW combo สำหรับการเขียนแผ่นซีดีเพลง / ภาพยนตร์
ใช้อินเตอร์เน็ตที่หอพัก ห้องสมุด ห้องบรรยาย แบบไร้สายหรือสายแลนได้
ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows XP Home
หากใช้Apple ก็ใช้ระบบปฏิบัติการ Mac OS X
แน่นอนว่าต้องใช้ Microsoft Office หรือ Office X for Mac OS
เดินทางตลอด ไม่หยุดนิ่ง พกพา เคลื่อนที่ตลอดเวลา
ในการนำเสนองาน หรือทำธุรกิจ อาจต้องไปพบลูกค้าตลอดเวลา จะต้องพกพา และเคลื่อนที่อยู่เป็นประจำ ทำให้จุดหลักที่ต้องมองคือ เรื่องการขนาดและน้ำหนักที่เบา พกพาสะดวก และสำหรับประสิทธิภาพก็ต้องไม่เป็นรองด้วยเช่นกัน น้ำหนักควรจะเบากว่า 1.8 กิโลกรัม และไม่ควรจะหนามากเกินไป
แนวทางในการเลือกซื้อ:
ซีพียู: AMD Turion, Intel Core Duo หรือ Intel Core 2 Duo
หน่วยความจำอย่างน้อย 512MB
จอขนาดเล็ก 13.3 นิ้วหรือเล็กกว่ายิ่งดี
รองรับแลนและการเชื่อมต่อไร้สาย
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนาน และเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่าย หากต้องใช้บนเครื่องบินในเที่ยวบินข้ามทวีป
ไดร์ว DVD/CDRW combo drive แบบต่อภายนอก
ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows XP Professional หรือ Tablet Edition
Microsoft Office Professional Edition
นักธุรกิจที่วุ่นกับงานทั้งวัน
แน่นอนว่ากลุ่มนี้ต้องการโน๊ตบุคที่ทำงานได้ทุกที่ ทั้งที่บ้าน ออฟฟิศ และระหว่างการเดินทาง ระบบต้องมีความเสถียรภาพมาก เพราะทุกที่คือที่ทำงานที่ทุกนาทีเป็นเงินเป็นทองไปซะหมด แถมยังต้องรองรับแอพพลิเคชั่นที่หลากหลาย จุดสำคัญคือเรื่องการพกพาอีกนั่นแหล่ะ จึงต้องเบา บางสุดๆ
แนวทางในการเลือกซื้อ:
ซีพียู: AMD Turion หรือ Intel Core 2 Duo
หน่วยความจำอย่างน้อย 512MB
ฮาร์ดไดร์วขนาดกลาง ไม่เน้นความจำมาก หรือน้อยเกินไป แต่ต้องมีเสถียรภาพของข้อมูลมาก
จอภาพขนาด 14 นิ้ว หรือ 15.4 นิ้ว
เครื่องเขียนแผ่น Dual-layer DVD
การเชื่อมต่อแลนและไร้สาย
แบตเตอรี่ความจุสูง เพราะต้องใช้งานตลอดเวลา
ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows XP Professional, Microsoft Media Center Edition
Microsoft Office Professional
คอเกมตัวยงหรือการใช้งานด้านความบันเทิงและมัลติมีเดีย
เรียกได้ว่าต้องการคอมพิวเตอร์ Notebook desktop replacement เลยทีเดียว เพราะการทำงานจะต้องรองรับได้เหมือนกับคอมพิวเตอร์พีซี แต่เน้นที่ว่าพกพาสะดวกเข้าว่า ใช้งานตกแต่งภาพ จัดทำเวบไซต์ ตัดต่อภาพยนตร์ แน่นอนว่าจะต้องรองรับงานหนักๆได้อย่างสบาย เน้นไปที่ซีพียูประมวลผลประสิทธิภาพสูง หน่วยความจำมากๆ ชิปประมวลผลกราฟิคสุดเริ่ด และฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่
แนวทางในการเลือกซื้อ:
เน้นซีพียู: AMD Turion หรือ Intel Core 2 Duo
หน่วยความจำ 1GB หรือ 2GB
จอภาพขนาด 15.4 นิ้วหรือใหญ่กว่า
ชิปประมวลผลกราฟิค พร้อมหน่วยความจำขนาด 128MB หรือ 256MB ในตัว ที่ไม่ได้แชร์กับหน่วยความจำของเครื่อง
ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ ทำงานรวดเร็ว
เครื่องเขียนแผ่น Dual-layer DVD
รองรับการเชื่อมต่อมัลติมีเดีย S-Video, DVI, FireWire, S/PDIF
คีย์บอร์ดและเม้าส์ต่อภายนอก
ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows XP Home หรือ Professional, Microsoft Media Center Edition หรือ Apple Mac OS X (สำหรับ Mac Book)
เมื่อพิจารณาได้แล้วว่าตนเองใช้งานลักษณะใด ก็เลือกรุ่น และสเปคให้ตรงใจ จากนั้นเปรียบเทียบสเปค และราคาในแต่ละยี่ห้อ รวมทั้งการรับประกันตัวเครื่อง และการรับประกัน Dead Pixel บนหน้าจออีกด้วย
ขอให้โชคดีครับ
แปลและเรียบเรียงจาก
CNET Editor
“Notebook Buying Guide”
Website: http://asia.cnet.com/buyingguides/notebooks
ผลกระทบจากการใช้โทรศัพท์มือถือ
กรุงเทพฯ--23 ส.ค.--สภาสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย
รศ.ดร.ประสิทธิ์ ทีฆพุฒิ ประธานสภามนตรี สสภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท.) กล่าวว่า ในระหว่างงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ 23-28 สิงหาคม ณ อิมแพค เมืองทองธานี สสวทท. ได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดนิทรรศการมนุษย์และสิ่งรอบตัว และหนึ่งใน 4 ของหัวข้อที่นำเสนอ ได้แก่การสร้างจิตสำนึกการป้องกันภัยรอบตัวเรา ในที่นี้ จะได้มีการนำเสนอข้อมูล เรื่อง ผลกระทบจากการใช้โทรศัพท์มือถือ จากสมาคมพิษวิทยา เพื่อให้ผู้สนใจนำไปเผยแพร่ด้วย
ปัจจุบันการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์สื่อสารสำคัญในชีวิตประจำวันของประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคนทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ใช้มากกว่า 20 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการใช้โทรศัพท์มือถือมีประโยชน์ทำให้การติดต่อสื่อสารด้วยวาจา พร้อมทั้งการส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ช่วยให้ความเป็นอยู่ของคนไทยและเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการใช้โทรศัพท์มือถือ แนบหูครั้งละนาน ๆ จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ โดยจากการวิจัยของแพทย์นักวิทยาศาสตร์หลายท่าน เตือนว่าผู้ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอาจมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคได้หลายชนิด อาทิ ปวดศีรษะ มะเร็งสมอง หูอักเสบ มะเร็งเม็ดเลือดขาวและความจำเสื่อม ฯลฯ เป็นต้น
ดร.ดนัย ทิวาเวช กรรมการสมาคมพิษวิทยา และรองเลขาธิการของ สสวทท. กล่าวว่า ผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมีโดยตรง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว คือ ในระยะสั้น จะมีอาการปวดหู ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มึนงง ขาดสมาธิ และเกิดความเครียดนอนไม่หลับ สำหรับผลในระยะยาว อาจทำให้เกิดโรคความจำเสื่อม โรคมะเร็งสมอง มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น
ข้อแนะนำสำหรับประชาชนหรือผู้บริโภค เพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายในอนาคต คือ 1 ) ควรใช้แต่ละครั้งให้น้อยลง 2) ควรใช้อุปกรณ์หูฟังทุกครั้งที่ใช้ เพราะจะทำให้ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าน้อยลง 3) หลีกเลี่ยงการใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ เพราะคลื่นแม่เล็กไฟฟ้าจะผ่านกะโหลกศีรษะของเด็กเข้าสู่เยื่อสมองได้ลึกกว่าของผู้ใหญ่ 4) หลีกเลี่ยงใช้ในที่มีสัญญาคลื่นโทรศัพท์จากสถานีส่งต่ำ เพราะผู้ใช้จะได้รับปริมาณคลื่นที่ส่งออกมาจากโทรศัพท์มือถือสูงกว่าปกติ 5) หลีกเลี่ยงการใช้ในขณะขับรถ เพราะทำให้ขาดสมาธิ จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ 6) หลีกเลี่ยงการใช้ในขณะเติมน้ำมันรถยนต์ เพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ได้ 7) ควรปิดมือถือก่อนเข้าไปในบริเวณที่มีการรับจ่ายน้ำมันและก๊าซ และการขนย้ายเชื้อเพลิงหรือสารเคมี
ทั้งนี้ หน่วยงานรัฐบาลที่รับผิดชอบ ควรจะมีการให้ข้อมูลข่าวสารทางวิชาการที่ถูกต้อง และทันเหตุการณ์กับประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจ ทำให้หมดความสงสัย และการตื่นตระหนก และสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการใช้โทรศัพท์มือถือ รวมทั้งมีมาตรการควบคุมอันตรายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือในประเทศไทยมีประสิทธิภาพและมีผลดีขึ้นในอนาคต
สารพิษรอบตัว
รศ.ดร.ประสิทธิ์ ทีฆพุฒิ ประธานสภามนตรี สสภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท.) กล่าวว่า ในระหว่างงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ 23-28 สิงหาคม ณ อิมแพค เมืองทองธานี สสวทท. ได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดนิทรรศการมนุษย์และสิ่งรอบตัว และหนึ่งใน 4 ของหัวข้อที่นำเสนอ ได้แก่การสร้างจิตสำนึกการป้องกันภัยรอบตัวเรา ในที่นี้ จะได้มีการนำเสนอข้อมูล เรื่อง สารพิษรอบตัว จากสมาคมพิษวิทยา เพื่อให้ผู้สนใจนำไปเผยแพร่ด้วย
สารพิษ มีอยู่ทุกแห่ง คนทุกคนมีโอกาสรับสารพิษอยู่ตลอดเวลา ในปริมาณมากน้อยไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนไทยส่วนใหญ่ เกิดความเคยชิน และขาดความตระหนักถือสารพิษเหล่านี้ ดังนั้นประชาชนควรรู้ ข้อมูลเกี่ยวกับสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในสิ่งต่าง ๆ เพื่อจะได้ป้องกันตนเองจากอันตรายที่จะเกิดขึ้น
ดร.ดนัย ทิวาเวช กรรมการสมาคมพิษวิทยา และรองเลขาธิการ สสวทท. กล่าวว่า สารพิษนั้นมีอยู่ทุกคนทุกแก่ง และสามารถเข้าสู่ร่างกายของคนเราได้ 3 ทาง คือ 1) การหายใจและการสูดดมเข้าทางจมูก เช่น สารตะกั่ว เบนซิน ควันบุหรี่ สารเคมีกำจัดแมลง 21) การดื่ม กลืนและกิน เช่น สารหนู แข่แมงดาถ้วย 3) การซึมผ่านทางผิวหนัง เช่นตะกั่ว สารเคมี ซึ่งเมื่อได้รับสารพิษเหล่านี้เข้าไปแล้ว จะเกิดการตอบสนอง 2 แบบ คือ แบบเฉียบพลัน คือเมื่อได้รับสารจะตรวจพบทันที สามารถแก้ไขอาการหรือป้องกันสาเหตุได้ง่าย และ แบบเรื้อรัง จะตรวจพบได้เมื่อมีอาการของโรคมากแล้ว จนไม่สามารถแก้ไขอาการ หรือป้องกันสาเหตุได้ เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น
การเกิดโรคมะเร็งมีความซับซ้อนมาก ยังไม่รู้กลไกการเกิดที่แน่นอน ปัจจัยสำคัญโดยทั่วไปของการเกิดโรคมะเร็ง มี 4 ประเภท คือ 1) สารมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหาร เช่น เฮทเทอโรชัยคลิก เอมัน อัลฟ่าท็อกซิน ฯลฯ ซึ่งสารเหล่านี้ก่อปัญหาทางสุขภาพมากที่สุด 2)การติดเชื้อ จากไวรัส บักเตรี และพยาธิใบไม้ในตับ 3) รังสี เช่น เอกซเรย์ อุลตราไวโอเลท 4) พันธุกรรม เช่นคนในครอบเคยเป็นมะเร็งเต้านม หรือลำไส้ใหญ่ ก็จะมีโอกาสเป็นสูง ข้อมูลทางวิชาการด้านสารก่อมะเร็งนั้นมีมาก ซึ่งจะเกิดในการประกอบอาหารต่าง ๆ เช่นประเภทปิ้งย่าง รมควัน หมัก เช่นพวก ไส้กรอก กุนเชียง แฮม หรือใช้น้ำมันทอดซ้ำ ๆ หลายครั้ง รวมทั้งในอาหารที่มีลักษณะยืดหยุ่น เช่นลูกชิ้นเด้ง ขนมหวานลูกกวาดหลากสี กุ้งแห้งใส่สี หรือเป็นอาหารที่มีเชื้อรา เช่น ถั่วลิสงบดที่เก็บไว้นาน นอกจากนี้ยังมีสารที่ปนเปื้อนในอาหาร เช่น ฟอร์มาลีน สารฟอกขาว สารเร่งเนื้อแดง และยาปฏิชีวนะที่ใช้ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ และผงชูรส เป็นต้น
การบริโภคอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษเป็นความจำเป็นที่คนไทยต้องมี แต่ปัจจุบันยังอยู่อีกห่างไกล เนื่องจากขาดความรับผิดชอบของเกษตรกรผู้ผลิตอาหาร ผู้แปรรูป ผู้ปรุงรสสำเร็จ และหน่วยงานที่รับผิดชอบ ดังนั้นจึงควรรู้เท่าทันอันตรายจากสารพิษ และป้องกันตนเองไม่ให้สัมผัสกับสารพิษ และให้มีจิตสำนึกในการบริโภคตลอดเวลา จึงจะทำให้ทุกคน ปลอดโรคและมีสุขภาพดีตลอดไป
การดื่มชาเขียวในประเทศไทย
รศ.ดร.ประสิทธิ์ ทีฑพุฒิ ประธานสภามนตรี สภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท.) กล่าวว่า ปัจจุบันการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่ประชาชนสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะการมีสุขภาพดี ย่อมอยู่ห่างไกลจากโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกิดจากความเสื่อมของสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคมะเร็งบางชนิด ทำนองเดียวกัน ทางการแพทย์ปัจจุบันนิยมการป้องกันการเกิดโรค มากกว่าการรักษา ซึ่งนอกจากจะเป็นผลดีต่อสุขภาพ แล้ว ยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่ต้องใช้ยารักษาแพง และต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ยารักษาโรคมะเร็งเป็นต้น
ดังนั้น จะเห็นแนวโน้มการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันมากขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านั้น มีความนิยมขึ้นลงตามกระแส ตัวอย่างเช่น ปีที่ผ่านมา นิยมผลิตภัณฑ์ที่ผสมใบแปะก๋วย จะเห็นว่าอะไรต่าง ๆ ก็ใส่ใบแปะก๋วย แต่ในปีนี้จะเห็นว่า อะไร ๆ ก็ใส่ใบชาเขียว เครื่องดื่มชาเขียวขณะนี้กำลังเป็นที่นิยม และเพิ่งออกมาสู่ตลาดใหม่ ๆ รวงมทั้งยังมีชาขาวอีกด้วย โดยจะมีการบรรยายสรรพคุณว่า มีแอนติออกซิเด้นท์ ซึ่งป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด นอกจากนี้การตลาด และการโฆษณาทำให้การดื่มชาเขียวเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ดังนี้ สภาสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย (สสวทท.) จึงได้จัดให้มีการเสวนา ในหัวข้อเรื่อง "การดื่มชาเขียวในประเทศไทย" ขึ้น เมื่อเร็ว นี้ (15 ส.ค. 48) โดยวิทยากรได้นำเสนอพื้นฐานความรู้เรื่องชาเขียว เช่น สารออกฤทธิ์ที่สำคัญในชาเขียว กระบวนการผลิต, ผลกระทบทั้งผลดีและผลเสียต่อร่างกาย รวมทั้งปริมาณการบริโภคที่เหมาะสม ที่จะทำให้เกิดผลดีและความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภค
อ้างอิง http://www.newswit.com/news/2005-08-23/a51cddf78132ad71684263aa259520f1/
รศ.ดร.ประสิทธิ์ ทีฆพุฒิ ประธานสภามนตรี สสภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท.) กล่าวว่า ในระหว่างงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ 23-28 สิงหาคม ณ อิมแพค เมืองทองธานี สสวทท. ได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดนิทรรศการมนุษย์และสิ่งรอบตัว และหนึ่งใน 4 ของหัวข้อที่นำเสนอ ได้แก่การสร้างจิตสำนึกการป้องกันภัยรอบตัวเรา ในที่นี้ จะได้มีการนำเสนอข้อมูล เรื่อง ผลกระทบจากการใช้โทรศัพท์มือถือ จากสมาคมพิษวิทยา เพื่อให้ผู้สนใจนำไปเผยแพร่ด้วย
ปัจจุบันการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์สื่อสารสำคัญในชีวิตประจำวันของประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคนทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ใช้มากกว่า 20 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการใช้โทรศัพท์มือถือมีประโยชน์ทำให้การติดต่อสื่อสารด้วยวาจา พร้อมทั้งการส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ช่วยให้ความเป็นอยู่ของคนไทยและเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการใช้โทรศัพท์มือถือ แนบหูครั้งละนาน ๆ จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ โดยจากการวิจัยของแพทย์นักวิทยาศาสตร์หลายท่าน เตือนว่าผู้ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอาจมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคได้หลายชนิด อาทิ ปวดศีรษะ มะเร็งสมอง หูอักเสบ มะเร็งเม็ดเลือดขาวและความจำเสื่อม ฯลฯ เป็นต้น
ดร.ดนัย ทิวาเวช กรรมการสมาคมพิษวิทยา และรองเลขาธิการของ สสวทท. กล่าวว่า ผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมีโดยตรง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว คือ ในระยะสั้น จะมีอาการปวดหู ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มึนงง ขาดสมาธิ และเกิดความเครียดนอนไม่หลับ สำหรับผลในระยะยาว อาจทำให้เกิดโรคความจำเสื่อม โรคมะเร็งสมอง มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น
ข้อแนะนำสำหรับประชาชนหรือผู้บริโภค เพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายในอนาคต คือ 1 ) ควรใช้แต่ละครั้งให้น้อยลง 2) ควรใช้อุปกรณ์หูฟังทุกครั้งที่ใช้ เพราะจะทำให้ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าน้อยลง 3) หลีกเลี่ยงการใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ เพราะคลื่นแม่เล็กไฟฟ้าจะผ่านกะโหลกศีรษะของเด็กเข้าสู่เยื่อสมองได้ลึกกว่าของผู้ใหญ่ 4) หลีกเลี่ยงใช้ในที่มีสัญญาคลื่นโทรศัพท์จากสถานีส่งต่ำ เพราะผู้ใช้จะได้รับปริมาณคลื่นที่ส่งออกมาจากโทรศัพท์มือถือสูงกว่าปกติ 5) หลีกเลี่ยงการใช้ในขณะขับรถ เพราะทำให้ขาดสมาธิ จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ 6) หลีกเลี่ยงการใช้ในขณะเติมน้ำมันรถยนต์ เพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ได้ 7) ควรปิดมือถือก่อนเข้าไปในบริเวณที่มีการรับจ่ายน้ำมันและก๊าซ และการขนย้ายเชื้อเพลิงหรือสารเคมี
ทั้งนี้ หน่วยงานรัฐบาลที่รับผิดชอบ ควรจะมีการให้ข้อมูลข่าวสารทางวิชาการที่ถูกต้อง และทันเหตุการณ์กับประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจ ทำให้หมดความสงสัย และการตื่นตระหนก และสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการใช้โทรศัพท์มือถือ รวมทั้งมีมาตรการควบคุมอันตรายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือในประเทศไทยมีประสิทธิภาพและมีผลดีขึ้นในอนาคต
สารพิษรอบตัว
รศ.ดร.ประสิทธิ์ ทีฆพุฒิ ประธานสภามนตรี สสภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท.) กล่าวว่า ในระหว่างงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ 23-28 สิงหาคม ณ อิมแพค เมืองทองธานี สสวทท. ได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดนิทรรศการมนุษย์และสิ่งรอบตัว และหนึ่งใน 4 ของหัวข้อที่นำเสนอ ได้แก่การสร้างจิตสำนึกการป้องกันภัยรอบตัวเรา ในที่นี้ จะได้มีการนำเสนอข้อมูล เรื่อง สารพิษรอบตัว จากสมาคมพิษวิทยา เพื่อให้ผู้สนใจนำไปเผยแพร่ด้วย
สารพิษ มีอยู่ทุกแห่ง คนทุกคนมีโอกาสรับสารพิษอยู่ตลอดเวลา ในปริมาณมากน้อยไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนไทยส่วนใหญ่ เกิดความเคยชิน และขาดความตระหนักถือสารพิษเหล่านี้ ดังนั้นประชาชนควรรู้ ข้อมูลเกี่ยวกับสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในสิ่งต่าง ๆ เพื่อจะได้ป้องกันตนเองจากอันตรายที่จะเกิดขึ้น
ดร.ดนัย ทิวาเวช กรรมการสมาคมพิษวิทยา และรองเลขาธิการ สสวทท. กล่าวว่า สารพิษนั้นมีอยู่ทุกคนทุกแก่ง และสามารถเข้าสู่ร่างกายของคนเราได้ 3 ทาง คือ 1) การหายใจและการสูดดมเข้าทางจมูก เช่น สารตะกั่ว เบนซิน ควันบุหรี่ สารเคมีกำจัดแมลง 21) การดื่ม กลืนและกิน เช่น สารหนู แข่แมงดาถ้วย 3) การซึมผ่านทางผิวหนัง เช่นตะกั่ว สารเคมี ซึ่งเมื่อได้รับสารพิษเหล่านี้เข้าไปแล้ว จะเกิดการตอบสนอง 2 แบบ คือ แบบเฉียบพลัน คือเมื่อได้รับสารจะตรวจพบทันที สามารถแก้ไขอาการหรือป้องกันสาเหตุได้ง่าย และ แบบเรื้อรัง จะตรวจพบได้เมื่อมีอาการของโรคมากแล้ว จนไม่สามารถแก้ไขอาการ หรือป้องกันสาเหตุได้ เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น
การเกิดโรคมะเร็งมีความซับซ้อนมาก ยังไม่รู้กลไกการเกิดที่แน่นอน ปัจจัยสำคัญโดยทั่วไปของการเกิดโรคมะเร็ง มี 4 ประเภท คือ 1) สารมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหาร เช่น เฮทเทอโรชัยคลิก เอมัน อัลฟ่าท็อกซิน ฯลฯ ซึ่งสารเหล่านี้ก่อปัญหาทางสุขภาพมากที่สุด 2)การติดเชื้อ จากไวรัส บักเตรี และพยาธิใบไม้ในตับ 3) รังสี เช่น เอกซเรย์ อุลตราไวโอเลท 4) พันธุกรรม เช่นคนในครอบเคยเป็นมะเร็งเต้านม หรือลำไส้ใหญ่ ก็จะมีโอกาสเป็นสูง ข้อมูลทางวิชาการด้านสารก่อมะเร็งนั้นมีมาก ซึ่งจะเกิดในการประกอบอาหารต่าง ๆ เช่นประเภทปิ้งย่าง รมควัน หมัก เช่นพวก ไส้กรอก กุนเชียง แฮม หรือใช้น้ำมันทอดซ้ำ ๆ หลายครั้ง รวมทั้งในอาหารที่มีลักษณะยืดหยุ่น เช่นลูกชิ้นเด้ง ขนมหวานลูกกวาดหลากสี กุ้งแห้งใส่สี หรือเป็นอาหารที่มีเชื้อรา เช่น ถั่วลิสงบดที่เก็บไว้นาน นอกจากนี้ยังมีสารที่ปนเปื้อนในอาหาร เช่น ฟอร์มาลีน สารฟอกขาว สารเร่งเนื้อแดง และยาปฏิชีวนะที่ใช้ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ และผงชูรส เป็นต้น
การบริโภคอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษเป็นความจำเป็นที่คนไทยต้องมี แต่ปัจจุบันยังอยู่อีกห่างไกล เนื่องจากขาดความรับผิดชอบของเกษตรกรผู้ผลิตอาหาร ผู้แปรรูป ผู้ปรุงรสสำเร็จ และหน่วยงานที่รับผิดชอบ ดังนั้นจึงควรรู้เท่าทันอันตรายจากสารพิษ และป้องกันตนเองไม่ให้สัมผัสกับสารพิษ และให้มีจิตสำนึกในการบริโภคตลอดเวลา จึงจะทำให้ทุกคน ปลอดโรคและมีสุขภาพดีตลอดไป
การดื่มชาเขียวในประเทศไทย
รศ.ดร.ประสิทธิ์ ทีฑพุฒิ ประธานสภามนตรี สภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท.) กล่าวว่า ปัจจุบันการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่ประชาชนสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะการมีสุขภาพดี ย่อมอยู่ห่างไกลจากโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกิดจากความเสื่อมของสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคมะเร็งบางชนิด ทำนองเดียวกัน ทางการแพทย์ปัจจุบันนิยมการป้องกันการเกิดโรค มากกว่าการรักษา ซึ่งนอกจากจะเป็นผลดีต่อสุขภาพ แล้ว ยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่ต้องใช้ยารักษาแพง และต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ยารักษาโรคมะเร็งเป็นต้น
ดังนั้น จะเห็นแนวโน้มการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันมากขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านั้น มีความนิยมขึ้นลงตามกระแส ตัวอย่างเช่น ปีที่ผ่านมา นิยมผลิตภัณฑ์ที่ผสมใบแปะก๋วย จะเห็นว่าอะไรต่าง ๆ ก็ใส่ใบแปะก๋วย แต่ในปีนี้จะเห็นว่า อะไร ๆ ก็ใส่ใบชาเขียว เครื่องดื่มชาเขียวขณะนี้กำลังเป็นที่นิยม และเพิ่งออกมาสู่ตลาดใหม่ ๆ รวงมทั้งยังมีชาขาวอีกด้วย โดยจะมีการบรรยายสรรพคุณว่า มีแอนติออกซิเด้นท์ ซึ่งป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด นอกจากนี้การตลาด และการโฆษณาทำให้การดื่มชาเขียวเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ดังนี้ สภาสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย (สสวทท.) จึงได้จัดให้มีการเสวนา ในหัวข้อเรื่อง "การดื่มชาเขียวในประเทศไทย" ขึ้น เมื่อเร็ว นี้ (15 ส.ค. 48) โดยวิทยากรได้นำเสนอพื้นฐานความรู้เรื่องชาเขียว เช่น สารออกฤทธิ์ที่สำคัญในชาเขียว กระบวนการผลิต, ผลกระทบทั้งผลดีและผลเสียต่อร่างกาย รวมทั้งปริมาณการบริโภคที่เหมาะสม ที่จะทำให้เกิดผลดีและความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภค
อ้างอิง http://www.newswit.com/news/2005-08-23/a51cddf78132ad71684263aa259520f1/
การดูแลรักษารถยนต์
การดูแลรักษารถด้วยตนเองที่นำเสนอนี้ เป็นแนวทาง ทั่วๆไป ที่เน้นหนักไปที่รถ TOYOTA แต่สำหรับรถยี่ห้ออื่นก็สามารถ นำไปเป็นแนวทางปฏิบัติได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าสิ่งที่นำเสนอนี้ต่างไปจากหนังสือคู่มือรถ ก็ขอให้ยึดถือข้อมูลในหนังสือคู่มือเป็นหลัก
รายการที่ควรตรวจเช็ค
1. น้ำหล่อเย็น ควรตรวจเช็คระดับน้ำหล่อเย็นให้อยู่ในระดับ Full อยู่เสมอ โดยตรวจเช็คในขณะที่ดับเครื่องและเครื่องเย็น ถ้าระดับน้ำลดลงเป็นปริมาณมากก็อาจ จะมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นได้ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องพิจารณาหาสาเหตุ หรือนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจเช็คสาเหตุ (อย่าลืมเติมน้ำก่อนนำรถไป)
2. ระดับน้ำมันเครื่อง การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงานแล้วดับเครื่องเช็คระดับน้ำมันเครื่องโดยใช้ก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง
- เพื่อให้การตรวจเช็คถูกต้อง รถควรอยู่ในแนวระดับเครื่องยังร้อน และทำการวัดหลังจากดับเครื่อง 2-3 นาทีเพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงด้านล่างก่อน
- ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออก เช็คน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดด้วยผ้า
- เสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิม
- ดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่าง " F " กับ " L " แสดงว่าระดับน้ำมันเครื่องปกติ
ข้อควรระวัง
- หลีกเลี่ยงการเติมน้ำมันเครื่องมากเกินไป เพราะอาจ ทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
- ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องที่ก้านวัดอีกครั้งหลังเติม น้ำมันเครื่องลงไป
3. ระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ควรตรวจเช็คระดับน้ำกลั่น แบตเตอรี่ ให้อยู่ในตำแหน่ง UPPER/LEVEL และไม่ควรเติมเกิน กว่าระดับ UPPER/LEVEL เพราะถ้าเติม มากเกินไป น้ำยาอิเลคโทรไลท์ซึ่งเป็นสารละลายกรด ซัลฟูริค จะเจือจางทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง นอกจากนี้ น้ำยาอิเลคโทรไลท์อาจจะกระเด็นออกทาง รูระบายไอ และไปกัดกร่อนชิ้นส่วนต่างๆ ในห้องเครื่องยนต์ได้
ข้อควรระวัง
- ปิดฝาเติมน้ำกลั่นให้แน่น
- ขั้วแบตเตอรี่ที่ขั้วบวกและลบขันแน่น
- แบตเตอรี่ยึดแน่นกับฐานที่ตั้ง
4. ระดับน้ำมันเบรค ควรตรวจเช็คด้วยสายตา สังเกตดูที่กระปุกน้ำมันเบรคมีคำว่า MAX และ MIN ระดับน้ำมันเบรคควร อยู่ที่ระดับ MAX อยู่เสมอ สาเหตุที่เป็นไปได้ ที่มีผลทำให้ปริมาณน้ำมันเบรคในกระปุกน้ำมันเบรค ลดลงต่ำลงมี 2 ข้อ คือ
- มีการรั่วของน้ำมันเบรคออกจากระบบเบรค
- การสึกหรอของผ้าเบรค ซึ่งระดับน้ำมันเบรคจะลดลงน้อย และช้ามาก ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำมันเบรคถ้าพบว่าระดับน้ำมันเบรคในกระปุกน้ำมันเบรค ลดลงต่ำลงรวดเร็ว ควรนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจ เช็คสาเหตุ
5. ระดับน้ำมันคลัทช์ ควรตรวจเช็คด้วยสายตา สังเกตดูที่กระปุกน้ำมันคลัทช์ จะมีคำว่า MAX กับ MIN ระดับน้ำมันคลัชท์ ควรอยู่ที่ระดับ MAX เสมอ ถ้าพบว่าระดับ น้ำมันคลัทช์ในกระปุกลดลงต่ำลง ควรนำรถเข้าศูนย์ บริการ เพื่อตรวจเช็คหาสาเหตุ
6. ระดับน้ำมันเกียร์ AUTO ควรตรวจเช็คขณะที่เครื่องยนต์ติดอยู่ โดยการดึงก้านวัดน้ำมันเกียร์ AUTO ออกเช็คน้ำมันเกียร์ ที่ติดก้านวัดด้วยผ้า แล้วเสียบก้านวัด น้ำมันเกียร์คืนกลับจุดเดิม ดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจระดับน้ำมันเกียร์ที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมัน เกียร์อยู่ที่ขีด F พอดี แสดงว่าระดับน้ำมันเกียร์ปกติ
7. ตรวจเช็คระดับน้ำมัน POWER ควรตรวจเช็คขณะที่เครื่องยนต์ติดอยู่ โดยการหมุนฝาปิดกระปุกน้ำมันPOWER จะติด อยู่กับฝากระปุกน้ำมัน POWER ที่ก้าน วัดจะมีคำว่า HOT และ COLD อยู่คนละด้าน ถ้าวัดตอนที่ เครื่องยนต์ยังเย็นอยู่ให้ดูด้าน COLD ถ้าวัดตอนเครื่อง ร้อนให้ดูด้าน HOT ถ้าเป็นรุ่นใหม่ให้ดูที่กระปุกน้ำมัน POWER จะเป็นพลาสติกใส ที่กระปุกจะมีคำว่า HOT และ COLD อยู่คนละด้าน และมีขีดระดับ MAX กับ MIN อยู่ด้วยระดับน้ำมัน POWER ควรอยู่ระดับ MAX เสมอ ถ้าดูตอนเครื่องยนต์เย็นให้ดูด้าน COLD และถ้าดูตอน เครื่องยนต์ร้อนให้ดูด้าน HOT
8. ตรวจเช็คสภาพของสายพาน โดยวิธีการมองดูที่สายพานถ้าพบรอยแตกเกิดขึ้น ควรทำการเปลี่ยนแต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะใช้รถได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ก็ควรตรวจดูความตึง ของสายพานด้วย โดยการใช้นิ้วกดลงบนสายพานตรงกลาง ระหว่างมู่เล่สองข้าง ถ้าสามารถกดลงได้เล็กน้อย ประมาณ 10 มม. ก็น่าจะพอใช้ได้ ( ถ้าไม่แน่ใจควรให้ช่างตรวจสอบ เพราะการตรวจด้วยวิธีดังกล่าว ผู้ตรวจต้องมีความชำนาญ พอสมควร )
9. ตรวจเช็คสภาพภายในห้องเครื่อง โดยวิธีการมองดูรอบๆภายในห้องเครื่อง ให้สังเกตดูว่า มีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น ท่อยางหม้อน้ำมีคราบน้ำซึมหรือไม่ สายไฟภายใน ห้องเครื่องเรียบร้อยดีหรือไม่ มีหนูขึ้นมากัดหรือไม่ มีคราบ น้ำมันเครื่องรั่วซึมหรือไม่ เป็นต้น
10. ตรวจเช็คระบบไฟส่องสว่าง และไฟสัญญาณต่างๆ เปิดไฟทั้งหมดดูว่าทำงานตามปกติหรือไม่ มีหลอดไหนไม่ติด หรือไม่ ถ้าพบว่ามีไฟหลอดไหนไม่ติดควรเปลี่ยน ให้อยู่สภาพพร้อมใช้งาน หรือนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อ ตรวจเช็ค
11. ตรวจเช็คที่ปัดน้ำฝน ยางปัดน้ำฝนเมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ก็อาจมีการเสื่อมสภาพ ซึ่งเนื่องมาจากสาเหตุเหล่านี้
- ผิวสัมผัสส่วนปลายมีการสึกหรอ จากการทำงานปกติของ ใบปัด
- มีสิ่งสกปรก และหินทรายละเอียดอยู่ระหว่างยางใบปัดกับกระจกทำให้ยางปัดน้ำฝนสึกหรอ
- เมื่อใบปัดน้ำฝนผ่านการใช้งานนานๆ ยางใบปัดน้ำฝน จะแข็งตัว การยืดหยุ่นจะลดลง และความบกพร่องในการ ปัดจะเกิดขึ้น เนื่องจากหน้าสัมผัสระหว่างยางใบปัดกับ กระจกไม่ดี รวมทั้งอาจเกิดจากใบปัดน้ำฝนเกิดอาการ สั่นเต้น หรืออาการอื่นๆ ถ้าพบอาการเหล่านี้ควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนใหม่
12. ตรวจเช็คยาง ควรเช็คแรงดันลมยางอยู่เสมอๆ โดยใช้ ความดันลมยางตามที่ผู้ผลิตกำหนด และควรเช็คขณะที่รถ ยังไม่ได้ใช้งาน( ยางยังไม่ร้อน ) ถ้าลมยางอ่อนผิดปกติ ควรนำไปตรวจสอบว่า มีตะปูตำหรือไม่ ดูสภาพยางด้วยตา ดูที่ผิวยางมีรอยแตกเล็กๆ หรือไม่ ดูการสึกหรอของดอกยาง กล่าวคือ ดอกยางสึกมากไปหรือยัง หรือมีการสึกหรอผิด ปกติ เช่น ลึกเฉพาะตรงกลางหน้ายาง ( เติมลมมากเกินไป ) สึกเฉพาะขอบยางทั้ง 2 ข้าง ( ลมยางอ่อนเกินไป ) หรือสึก ด้านใดด้านหนึ่ง ฯลฯ ซึ่งกรณีเหล่านี้ ควรปรึกษาช่าง เพราะ ควรจะมีการตรวจเช็คช่วงล่าง และศูนย์ล้อ เอาเล็บมือกดดู ที่เนื้อยางว่า นิ่ม หรือ แข็ง ถ้ายางหมดสภาพ เนื้อยางจะกดไม่ลงจะแข็งมาก
การบำรุงรักษารถด้วยตนเองที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ควรทำบ่อยแค่ไหน ?
คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับรถของท่านว่า ใหม่หรือเก่า มีสภาพเป็นอย่างไร ถ้าเป็นรถใหม่ๆ ทำอาทิตย์ละครั้งก็มากพอแล้ว แต่ถ้าเป็นรถเก่าสภาพไม่ดีนักก็อาจต้องทำทุกวัน
คำแนะนำ
ข้อควรระวังในการบำรุงรักษารถด้วยตัวของท่านเองถ้าท่านทำการบำรุงรักษารถด้วยตัวท่านเอง , ก่อนอื่นต้อง แน่ใจว่า ได้ปฏิบัติตามข้อควรระวังที่ให้ไว้ในส่วนนี้ อย่างถูกต้องไม่เช่นนั้นแล้วจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้คำแนะนำในส่วนนี้ใช้เฉพาะในการบำรุงรักษารถ เฉพาะส่วนที่บำรุงรักษาง่ายๆการทำงานใดๆ เกี่ยวกับรถยนต์ของท่านควรจะใช้ความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นตาม คำแนะนำ หรือคำเตือนดังต่อไปนี้
คำเตือน :
- ขณะเครื่องยนต์กำลังทำงาน ระวังอย่าให้มือ , เสื้อผ้าและ เครื่องมือต่างๆเข้าใกล้ใบพัด และสายพานขับเครื่องยนต์ ( ควรถอดแหวน , นาฬิกา และเนคไท ออกก่อนทำการ ตรวจซ่อม )
- หลังจากใช้รถให้ระวังอย่าสัมผัสกับเครื่องยนต์ , หม้อน้ำและท่อไอเสีย เนื่องจากความร้อนของสิ่งเหล่านี้
- อย่าสูบบุหรี่ ใกล้น้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากไอน้ำมันเชื้อ- เพลิงจะไวไฟมาก
- ให้ระมัดระวังอันตรายจากน้ำกรด และไอน้ำกรดจากแบตเตอรี่ เมื่อทำงานอยู่กับแบตเตอรี่
- อย่าเข้าใต้ท้องรถโดยมีเพียงแม่แรงรองรับเท่านั้น ควรใช้ขาตั้งรองรับเสียก่อน
- ใช้อุปกรณ์ป้องกันตาขณะทำงานในที่ที่อาจมีของตก มีการพ่นหรือละอองของเหลวกระเด็นออกมาไม่ว่าจะอยู่บนหรือใต้รถก็ตาม - ควรระมัดระวังเมื่อมีการเติมน้ำมันเบรค เนื่องจากน้ำมันเบรคเป็นอันตรายต่อตาของท่าน และทำลายสีรถได้ ถ้า น้ำมันเบรคกระเด็นเข้าตาหรือโดนสีรถให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาดโดยทันที
ข้อควรระวัง :
- จำไว้ว่าสายจากแบตเตอรี่และสายไฟจุดระเบิด มีกระแส หรือแรงดันไฟสูงมาก จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดการลัดวงจร
- ก่อนปิดกระโปรงหน้า ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไม่ลือเครื่อมืออุปกรณ์ต่างๆ ไว้
- ถ้าท่านทำน้ำมันต่างๆ หกรดโดนชิ้นส่วนต่างๆ ให้รีบล้างออกโดยน้ำสะอาดเพื่อป้องกันชิ้นส่วน หรือสีเสียหาย
- อย่าเติมน้ำมันเกียร์อัตโนมัติมากเกิน มิฉะนั้นระบบเกียร์อาจเสียหายได้
- อย่าเติมน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์มากเกิน มิฉะนั้นระบบพวงมาลัยเพาเวอร์อาจจะเสียหายได้
อ้างอิง http://www.phithan-toyota.com/th/articledetail.php?article_id=54
รายการที่ควรตรวจเช็ค
1. น้ำหล่อเย็น ควรตรวจเช็คระดับน้ำหล่อเย็นให้อยู่ในระดับ Full อยู่เสมอ โดยตรวจเช็คในขณะที่ดับเครื่องและเครื่องเย็น ถ้าระดับน้ำลดลงเป็นปริมาณมากก็อาจ จะมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นได้ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องพิจารณาหาสาเหตุ หรือนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจเช็คสาเหตุ (อย่าลืมเติมน้ำก่อนนำรถไป)
2. ระดับน้ำมันเครื่อง การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงานแล้วดับเครื่องเช็คระดับน้ำมันเครื่องโดยใช้ก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง
- เพื่อให้การตรวจเช็คถูกต้อง รถควรอยู่ในแนวระดับเครื่องยังร้อน และทำการวัดหลังจากดับเครื่อง 2-3 นาทีเพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงด้านล่างก่อน
- ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออก เช็คน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดด้วยผ้า
- เสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิม
- ดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่าง " F " กับ " L " แสดงว่าระดับน้ำมันเครื่องปกติ
ข้อควรระวัง
- หลีกเลี่ยงการเติมน้ำมันเครื่องมากเกินไป เพราะอาจ ทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
- ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องที่ก้านวัดอีกครั้งหลังเติม น้ำมันเครื่องลงไป
3. ระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ควรตรวจเช็คระดับน้ำกลั่น แบตเตอรี่ ให้อยู่ในตำแหน่ง UPPER/LEVEL และไม่ควรเติมเกิน กว่าระดับ UPPER/LEVEL เพราะถ้าเติม มากเกินไป น้ำยาอิเลคโทรไลท์ซึ่งเป็นสารละลายกรด ซัลฟูริค จะเจือจางทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง นอกจากนี้ น้ำยาอิเลคโทรไลท์อาจจะกระเด็นออกทาง รูระบายไอ และไปกัดกร่อนชิ้นส่วนต่างๆ ในห้องเครื่องยนต์ได้
ข้อควรระวัง
- ปิดฝาเติมน้ำกลั่นให้แน่น
- ขั้วแบตเตอรี่ที่ขั้วบวกและลบขันแน่น
- แบตเตอรี่ยึดแน่นกับฐานที่ตั้ง
4. ระดับน้ำมันเบรค ควรตรวจเช็คด้วยสายตา สังเกตดูที่กระปุกน้ำมันเบรคมีคำว่า MAX และ MIN ระดับน้ำมันเบรคควร อยู่ที่ระดับ MAX อยู่เสมอ สาเหตุที่เป็นไปได้ ที่มีผลทำให้ปริมาณน้ำมันเบรคในกระปุกน้ำมันเบรค ลดลงต่ำลงมี 2 ข้อ คือ
- มีการรั่วของน้ำมันเบรคออกจากระบบเบรค
- การสึกหรอของผ้าเบรค ซึ่งระดับน้ำมันเบรคจะลดลงน้อย และช้ามาก ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำมันเบรคถ้าพบว่าระดับน้ำมันเบรคในกระปุกน้ำมันเบรค ลดลงต่ำลงรวดเร็ว ควรนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจ เช็คสาเหตุ
5. ระดับน้ำมันคลัทช์ ควรตรวจเช็คด้วยสายตา สังเกตดูที่กระปุกน้ำมันคลัทช์ จะมีคำว่า MAX กับ MIN ระดับน้ำมันคลัชท์ ควรอยู่ที่ระดับ MAX เสมอ ถ้าพบว่าระดับ น้ำมันคลัทช์ในกระปุกลดลงต่ำลง ควรนำรถเข้าศูนย์ บริการ เพื่อตรวจเช็คหาสาเหตุ
6. ระดับน้ำมันเกียร์ AUTO ควรตรวจเช็คขณะที่เครื่องยนต์ติดอยู่ โดยการดึงก้านวัดน้ำมันเกียร์ AUTO ออกเช็คน้ำมันเกียร์ ที่ติดก้านวัดด้วยผ้า แล้วเสียบก้านวัด น้ำมันเกียร์คืนกลับจุดเดิม ดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจระดับน้ำมันเกียร์ที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมัน เกียร์อยู่ที่ขีด F พอดี แสดงว่าระดับน้ำมันเกียร์ปกติ
7. ตรวจเช็คระดับน้ำมัน POWER ควรตรวจเช็คขณะที่เครื่องยนต์ติดอยู่ โดยการหมุนฝาปิดกระปุกน้ำมันPOWER จะติด อยู่กับฝากระปุกน้ำมัน POWER ที่ก้าน วัดจะมีคำว่า HOT และ COLD อยู่คนละด้าน ถ้าวัดตอนที่ เครื่องยนต์ยังเย็นอยู่ให้ดูด้าน COLD ถ้าวัดตอนเครื่อง ร้อนให้ดูด้าน HOT ถ้าเป็นรุ่นใหม่ให้ดูที่กระปุกน้ำมัน POWER จะเป็นพลาสติกใส ที่กระปุกจะมีคำว่า HOT และ COLD อยู่คนละด้าน และมีขีดระดับ MAX กับ MIN อยู่ด้วยระดับน้ำมัน POWER ควรอยู่ระดับ MAX เสมอ ถ้าดูตอนเครื่องยนต์เย็นให้ดูด้าน COLD และถ้าดูตอน เครื่องยนต์ร้อนให้ดูด้าน HOT
8. ตรวจเช็คสภาพของสายพาน โดยวิธีการมองดูที่สายพานถ้าพบรอยแตกเกิดขึ้น ควรทำการเปลี่ยนแต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะใช้รถได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ก็ควรตรวจดูความตึง ของสายพานด้วย โดยการใช้นิ้วกดลงบนสายพานตรงกลาง ระหว่างมู่เล่สองข้าง ถ้าสามารถกดลงได้เล็กน้อย ประมาณ 10 มม. ก็น่าจะพอใช้ได้ ( ถ้าไม่แน่ใจควรให้ช่างตรวจสอบ เพราะการตรวจด้วยวิธีดังกล่าว ผู้ตรวจต้องมีความชำนาญ พอสมควร )
9. ตรวจเช็คสภาพภายในห้องเครื่อง โดยวิธีการมองดูรอบๆภายในห้องเครื่อง ให้สังเกตดูว่า มีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น ท่อยางหม้อน้ำมีคราบน้ำซึมหรือไม่ สายไฟภายใน ห้องเครื่องเรียบร้อยดีหรือไม่ มีหนูขึ้นมากัดหรือไม่ มีคราบ น้ำมันเครื่องรั่วซึมหรือไม่ เป็นต้น
10. ตรวจเช็คระบบไฟส่องสว่าง และไฟสัญญาณต่างๆ เปิดไฟทั้งหมดดูว่าทำงานตามปกติหรือไม่ มีหลอดไหนไม่ติด หรือไม่ ถ้าพบว่ามีไฟหลอดไหนไม่ติดควรเปลี่ยน ให้อยู่สภาพพร้อมใช้งาน หรือนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อ ตรวจเช็ค
11. ตรวจเช็คที่ปัดน้ำฝน ยางปัดน้ำฝนเมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ก็อาจมีการเสื่อมสภาพ ซึ่งเนื่องมาจากสาเหตุเหล่านี้
- ผิวสัมผัสส่วนปลายมีการสึกหรอ จากการทำงานปกติของ ใบปัด
- มีสิ่งสกปรก และหินทรายละเอียดอยู่ระหว่างยางใบปัดกับกระจกทำให้ยางปัดน้ำฝนสึกหรอ
- เมื่อใบปัดน้ำฝนผ่านการใช้งานนานๆ ยางใบปัดน้ำฝน จะแข็งตัว การยืดหยุ่นจะลดลง และความบกพร่องในการ ปัดจะเกิดขึ้น เนื่องจากหน้าสัมผัสระหว่างยางใบปัดกับ กระจกไม่ดี รวมทั้งอาจเกิดจากใบปัดน้ำฝนเกิดอาการ สั่นเต้น หรืออาการอื่นๆ ถ้าพบอาการเหล่านี้ควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนใหม่
12. ตรวจเช็คยาง ควรเช็คแรงดันลมยางอยู่เสมอๆ โดยใช้ ความดันลมยางตามที่ผู้ผลิตกำหนด และควรเช็คขณะที่รถ ยังไม่ได้ใช้งาน( ยางยังไม่ร้อน ) ถ้าลมยางอ่อนผิดปกติ ควรนำไปตรวจสอบว่า มีตะปูตำหรือไม่ ดูสภาพยางด้วยตา ดูที่ผิวยางมีรอยแตกเล็กๆ หรือไม่ ดูการสึกหรอของดอกยาง กล่าวคือ ดอกยางสึกมากไปหรือยัง หรือมีการสึกหรอผิด ปกติ เช่น ลึกเฉพาะตรงกลางหน้ายาง ( เติมลมมากเกินไป ) สึกเฉพาะขอบยางทั้ง 2 ข้าง ( ลมยางอ่อนเกินไป ) หรือสึก ด้านใดด้านหนึ่ง ฯลฯ ซึ่งกรณีเหล่านี้ ควรปรึกษาช่าง เพราะ ควรจะมีการตรวจเช็คช่วงล่าง และศูนย์ล้อ เอาเล็บมือกดดู ที่เนื้อยางว่า นิ่ม หรือ แข็ง ถ้ายางหมดสภาพ เนื้อยางจะกดไม่ลงจะแข็งมาก
การบำรุงรักษารถด้วยตนเองที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ควรทำบ่อยแค่ไหน ?
คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับรถของท่านว่า ใหม่หรือเก่า มีสภาพเป็นอย่างไร ถ้าเป็นรถใหม่ๆ ทำอาทิตย์ละครั้งก็มากพอแล้ว แต่ถ้าเป็นรถเก่าสภาพไม่ดีนักก็อาจต้องทำทุกวัน
คำแนะนำ
ข้อควรระวังในการบำรุงรักษารถด้วยตัวของท่านเองถ้าท่านทำการบำรุงรักษารถด้วยตัวท่านเอง , ก่อนอื่นต้อง แน่ใจว่า ได้ปฏิบัติตามข้อควรระวังที่ให้ไว้ในส่วนนี้ อย่างถูกต้องไม่เช่นนั้นแล้วจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้คำแนะนำในส่วนนี้ใช้เฉพาะในการบำรุงรักษารถ เฉพาะส่วนที่บำรุงรักษาง่ายๆการทำงานใดๆ เกี่ยวกับรถยนต์ของท่านควรจะใช้ความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นตาม คำแนะนำ หรือคำเตือนดังต่อไปนี้
คำเตือน :
- ขณะเครื่องยนต์กำลังทำงาน ระวังอย่าให้มือ , เสื้อผ้าและ เครื่องมือต่างๆเข้าใกล้ใบพัด และสายพานขับเครื่องยนต์ ( ควรถอดแหวน , นาฬิกา และเนคไท ออกก่อนทำการ ตรวจซ่อม )
- หลังจากใช้รถให้ระวังอย่าสัมผัสกับเครื่องยนต์ , หม้อน้ำและท่อไอเสีย เนื่องจากความร้อนของสิ่งเหล่านี้
- อย่าสูบบุหรี่ ใกล้น้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากไอน้ำมันเชื้อ- เพลิงจะไวไฟมาก
- ให้ระมัดระวังอันตรายจากน้ำกรด และไอน้ำกรดจากแบตเตอรี่ เมื่อทำงานอยู่กับแบตเตอรี่
- อย่าเข้าใต้ท้องรถโดยมีเพียงแม่แรงรองรับเท่านั้น ควรใช้ขาตั้งรองรับเสียก่อน
- ใช้อุปกรณ์ป้องกันตาขณะทำงานในที่ที่อาจมีของตก มีการพ่นหรือละอองของเหลวกระเด็นออกมาไม่ว่าจะอยู่บนหรือใต้รถก็ตาม - ควรระมัดระวังเมื่อมีการเติมน้ำมันเบรค เนื่องจากน้ำมันเบรคเป็นอันตรายต่อตาของท่าน และทำลายสีรถได้ ถ้า น้ำมันเบรคกระเด็นเข้าตาหรือโดนสีรถให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาดโดยทันที
ข้อควรระวัง :
- จำไว้ว่าสายจากแบตเตอรี่และสายไฟจุดระเบิด มีกระแส หรือแรงดันไฟสูงมาก จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดการลัดวงจร
- ก่อนปิดกระโปรงหน้า ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไม่ลือเครื่อมืออุปกรณ์ต่างๆ ไว้
- ถ้าท่านทำน้ำมันต่างๆ หกรดโดนชิ้นส่วนต่างๆ ให้รีบล้างออกโดยน้ำสะอาดเพื่อป้องกันชิ้นส่วน หรือสีเสียหาย
- อย่าเติมน้ำมันเกียร์อัตโนมัติมากเกิน มิฉะนั้นระบบเกียร์อาจเสียหายได้
- อย่าเติมน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์มากเกิน มิฉะนั้นระบบพวงมาลัยเพาเวอร์อาจจะเสียหายได้
อ้างอิง http://www.phithan-toyota.com/th/articledetail.php?article_id=54
วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วิธีการใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกต้อง
เริ่มจากแสงสว่างจากตัวคอมพิวเตอร์สามารถปรับให้เหมาะสมกับดวงตา จะปรับขนาดไหนไม่มีข้อกำหนด เพียงแต่จัดแสงให้ตาเรารู้สึกสบาย และ จะใช้สกรีนติดหน้าจอเพื่อลดความจ้าของแสงก็ได้ หรือลดแสงแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีน้อยมากจากจอ และสกรีนเหล่านี้ ก็มีขายตามท้องตลาดทั่วไปส่วนการป้องกันไม่ให้ตาเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ หลังปวด หรือแสบตา ก็ควรนั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว สกรีน คอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศาจัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์ จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของตา ในระยะที่ต่างกันมากอย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ พักสายตา พักอิริยาบถทุก ๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย กะพริบตาบ้าง ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราวจอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน ตัวหนังสือ ภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้นอีก
อ้างอิง http://kimsyeyu.blogspot.com/2007/10/blog-post.html
อ้างอิง http://kimsyeyu.blogspot.com/2007/10/blog-post.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)